รู้แล้วรีบชิ่ง
น้ำอัดลมไดเอต ใครว่าดีต่อสุขภาพ ที่จริงแล้วมันน่ะอันตรายมากกว่าน้ำอัดลมจริง ๆ
เสียอีก
พูดถึงน้ำอัดลมไดเอต
ก็คงเป็นเครื่องดื่มที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ หลายคนชื่นชอบ เพราะเชื่อว่านอกจากจะให้ความสดชื่นแล้ว
ยังใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ดูแล้วน่าจะปลอดภัย แถมดื่มแล้วก็ยังไม่อ้วน อ๊ะ
ๆ นั่นเป็นความคิดที่ผิดแล้วละค่ะ เพราะที่จริงแล้วเจ้าน้ำอัดลมไดเอตนี่ไม่ได้มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
แถมยังมีโทษต่อร่างกายมากมายจนคาดไม่ถึงอีกด้วย อย่างที่เว็บไซต์ wellnesstoday.com นำข้อเสียของน้ำอัดลมไดเอตที่ไม่ควรละเลยมาเล่าสู่กันฟังค่ะ
ไปดูกันเลยดีกว่า ขอย้ำเลยว่าใครที่ชื่นชอบเจ้าเครื่องดื่มชนิดนี้ต้องอ่านให้จบเลยละค่ะ
ขึ้นชื่อว่าน้ำอัดลม
ยังไงมันก็มีข้อเสียมากกว่าข้อดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีน้ำตาลหรือไม่มีน้ำตาล จะสีดำ
สีแดง สีเขียวหรือสีส้ม น้ำอัดลมเหล่านี้ก็ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อสุขภาพของเราอยู่ดีแหละค่ะ
ยิ่งน้ำอัดลมไดเอตนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะเจ้าเครื่องดื่มที่เหมือนจะเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับการไดเอตนี่
ละ ส่งผลร้ายให้สุขภาพร่างกายของเรามากกว่าน้ำอัดลมธรรมดาหลายเท่าตัวเลยเชียว
โดยปริมาณน้ำเชื่อมข้าวโพดที่มีฟรุกโตสสูงซึ่งมีอยู่ในน้ำอัดลมทั่วไปสามารถทำ
ให้เราอ้วนได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราดื่มน้ำอัดลมที่มีแคลอรี่น้อยกว่านั่นจะดีต่อ
สุขภาพ เพราะเจ้าสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่มีแคลอรี่ต่ำในน้ำอัดลมไดเอตนี่ล่ะ นอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว
ยังสามารถไปทำลายเซลล์สมองได้อีกด้วย ! นอกจากนี้น้ำอัดลมไดเอตยังมีข้อเสียอีกมากมาย
ดังนี้ค่ะ
1.
ทำลายเซลล์สมอง
แม้ว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาลในน้ำอัดลมไดเอตอย่างเช่น
เอสปาร์แตม (aspartame) จะให้ความหวานได้แทนน้ำตาล
และมีแคลอรี่ต่ำ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อุขภาพเลยสักนิด เพราะสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอย่างเอสปาร์แตมนั้น
เป็นสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท จะไปกระตุ้นเซลล์ประสาทในสมองจนทำให้เซลลนั้นตาย นอกจากนี้ยังมีการวิจัยพบอีกว่า
เอสปาร์แตมมีความเชื่อมโยงกับการสูญเสียความทรงจำและเนื้องอกในสมองอีกด้วย
2. ทำให้กระดูกอ่อนแอลง
กรดฟอสฟอริกที่อยู่ในน้ำอัดลมไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมธรรมดาทั่วไปหรือน้ำอัดลมได
เอตนั้นจะไปชะล้างแคลเซียมออกไปจากกระดูกและส่งผลทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน หรือกระดูกแตกหักได้
3. รอบเอวเพิ่มขึ้น
แม้ว่ามันจะมีชื่อว่าน้ำอัดลมไดเอต
แต่การศึกษาหนึ่งก็แสดงให้เห็นแล้วว่าผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมชนิดนี้มีแนวโน้ม ว่าจะอ้วนขึ้นมากกว่าผู้ที่ดืมน้ำอัดลมธรรมดาหรือผู้ที่ไม่ดื่มน้ำอัดลมเลย
โดยในการศึกษาหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพมหาวิทยาลัยเท็ก
ซัส ซึ่งได้ทำการศึกษากับคนจำนวน 475 คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่าผู้ที่เคยดื่มน้ำอัดลมไดเอตมีรอบเอวที่เพิ่มขึ้น ถึง 70% เมื่อเทียบกับผู้ที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล และผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมไดเอตมากกว่าวันละ
2 กระป๋องนั้น ก็มีรอบเอวที่เพิ่มขึ้น 500% ! โดยนักวิจัยเชื่อว่าเกิดจากเอสปาร์แตมซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเข้าไป
เพิ่มระดับกลูโคสในเลือด และเมื่อมีกลูโคสในเลือดมากเกินไป กลูโคสก็จะสะสมกลายเป็นไขมัน
นอกจากนี้น้ำอัดลมยังมีคาเฟอีนซึ่งคาเฟอีนจะส่งผลต่อตับและต่อมหมวกไต
แถมคาเฟอีนยังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียด
ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้น้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็วได้อีกด้วย
4. เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคอ้วน
ถึงแม้ว่าจะชื่อน้ำอัดลมไดเอต
ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล แต่อินซูลินนั้นก็สามารถตอบสนองในสิ่งที่ใกล้เคียงน้ำตาลได้เช่นกัน
ซึ่งนั่นทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนมากกว่าการดื่มน้ำอัดลมธรรมดา เสียอีก
5. ทำให้ปวดหัวและเสี่ยงเบาหวาน
ซูคราโลส (sucralose) เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอีกชนิดหนึ่งที่มักนิยมใช้เป็นสารให้ความหวานใน
น้ำอัดลมไดเอต จะไปกระตุ้นอาการของไมเกรน เพิ่มความอยากน้ำตาลและอาหาร และทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินอีกด้วย
และสาเหตุเหล่านี้นี่ล่ะที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน
6. ร่างกายเสื่อมสภาพก่อนวัย
น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มทีเต็มไปด้วยกรดฟอสฟอริก
ซึ่งแม้ว่ากรดชนิดนี้จะช่วยทำให้รสชาติดีขึ้นและทำให้เก็บได้นาน แต่มันก็สามารถทำให้ร่างกายของเราเสื่อมสภาพลงได้ก่อนวัยเช่นกัน
โดยการศึกษาในปี 2010 ซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสาร FASEB
Journal พบว่า ระดับฟอสเฟตที่สูงในน้ำอัดลมเป็นสาเหตุที่ทำให้หนูในห้องทดลองตายเร็วขึ้น
ถึง 5 สัปดาห์ ซึ่งเร็วกว่าหนูที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่มีระดับฟอสเฟตปกติ
7. เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ
การศึกษาจากโรงเรียนแพทย์มิลเลอร์แห่งมหาวิทยาลัยไมอามี่พบว่า
ผู้ที่บริโภคน้ำอัดลมไดเอตมีอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นถึง 61% ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงขึ้นนั้นอาจทำให้ความเสี่ยงในการเป็นโรค หัวใจเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วยค่ะ
ถึงแม้ว่าชื่อจะดูปลอดภัย
แต่เจ้าน้ำอัดลมไดเอตก็มีแต่โทษ แถมยังมากกว่าน้ำอัดลมปกติอีกด้วย แต่ก็ใช่ว่าน้ำอัดลมทั่วไปจะมีประโยชน์นะคะ
เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงจะดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้ไม่อ้วนนะคะ
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
No comments:
Post a Comment