Tuesday, June 21, 2016

กระท้อน สรรพคุณมากคุณค่า ผลไม้ไทยรสชาติตราตรึงใจ




กระท้อน ผลไม้รสชาติอร่อยตามฤดูกาล ที่ไม่เพียงโดดเด่นในเรื่องของรสชาติ แต่สรรพคุณของกระท้อนยังโดดเด่นจนน่าลอง

          ถ้าพูดถึงผลไม้ที่ได้รับความนิยมในเรื่องรสชาติที่อร่อย แถมยังสามารถนำไปรับประทานได้หลากหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นต้องเป็นกระท้อนอย่างแน่นอน เพราะกระท้อนเป็นผลไม้ที่ถูกปากถูกใจใครต่อใครมากมาย วันนี้เราก็เลยขอนำความรู้ดี ๆ ที่เกี่ยวกับผลไม้ชนิดนี้มาฝากกัน บอกได้เลยว่ากระท้อนไม่ได้มีดีแค่รสชาติอร่อย แต่ยังช่วยบำรุงสุขภาพ และป้องกันภัยสุขภาพได้อีกหลายอย่างเลยล่ะค่ะ

          กระท้อน (Santol) ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sandoricum koetjape (Burm. f.) Merr. ส่วนภาษาอังกฤษคือ Santol เป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดในแถบอินโดจีน โดยในแต่ละประเทศมีชื่อเรียกตามท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ในส่วนของประเทศไทย ภาคอีสานเรียกกระท้อนว่า มะต้อง หรือหมากต้อง ภาคเหนือเรียก มะต้อง หรือ มะติ๋น ส่วนภาษาใต้เรียกผลไม้ชนิดนี้ว่า เตียน ล่อน สะท้อน สตียา สะตู สะโต เป็นผลไม้ที่อยู่วงศ์เดียวกับลางสาดและลองกอง มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ได้แก่ กระท้อนพันธุ์ปุยฝ้าย กระท้อนพันธุ์อีล่า กระท้อนพันธุ์ทับทิม และกระท้อนพันธุ์นิ่มนวล


             กระท้อนมีลักษณะเป็นไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ลำต้นแตกเป็นร่อง เปลือกไม้เรียบมีสีน้ำตาลชมพูอ่อน มีช่องอากาศ ใบมีลักษณะเป็นช่อยาว 20-40 เซนติเมตร ใบแก่จัดสีแดงอิฐหรือสีแสด ดอกรวมกันเป็นช่อ ช่อดอกยาว 5-15 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็ก สีเหลืองอ่อน หรือสีเขียวอ่อนอมเหลือง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลมีลักษณะกลมหรือแป้น อุ้มน้ำ ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่จัดจะกลายเป็นสีเหลือง เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไต เรียงตามแนวตั้ง 5 เมล็ด เป็นผลไม้ตามฤดูกาล โดยมักจะออกผลในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม กระท้อนเป็นผลไม้ที่สามารถนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรได้หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น ใบสด เปลือก ราก แต่ส่วนใหญ่แล้วมักนิยมนำผลมารับประทานเป็นทั้งอาหารคาวหวาน เนื่องจากมีรสชาติที่อร่อยและรสสัมผัสที่นุ่มละมุน

สรรพคุณของกระท้อน อร่อยและดีกับสุขภาพ

 

1. สร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

          กระท้อน 100 กรัมมีไฟเบอร์ถึง 1.26 กรัม เทียบเป็น 8.4% ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ซึ่งไฟเบอร์จะช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างโปรไบโอติกส์ได้มากขึ้น และเจ้าแบคทีเรียชนิดนี้มีส่วนสำคัญในการสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกระท้อนยังช่วยป้องกันและกระตุ้นระบบ ภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

2. ป้องกันฟันผุ

          สรรพคุณ อีกอย่างหนึ่งที่เรียกได้ว่าน่าสนใจสุด ๆ ของกระท้อน นั่นก็คือกระท้อนช่วยป้องกันฟันผุได้ เพราะการรับประทานกระท้อนจะช่วยเพิ่มการหลั่งของน้ำลาย ซึ่งเจ้าน้ำลายนี่ล่ะค่ะมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปาก และขจัดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดฟันผุได้เป็นอย่างดี

 

3. ลดระดับคอเลสเตอรอล

          กระท้อนเป็นแหล่งที่อุดมด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง เนื่องจากไฟเบอร์ชนิดนี้จะเข้าไปลดระดับไขมันในเส้นเลือด อีกทั้งเพคตินที่อยู่ในกระท้อนก็ยังคอยช่วยดักจับคอเลสเตอรอล ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลลดลง และสามารถป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจได้อีกด้วย

 

4. แก้ท้องเสีย

          แม้ว่าการรับประทานไฟเบอร์มากไปจะกระตุ้นให้ระบบขับถ่ายทำงานหนักจนอาจกลายเป็น อาการท้องเสีย แต่สำหรับคนที่ท้องเสียแล้ว กระท้อนช่วยได้ค่ะ โดยเฉพาะรากของกระท้อน หากนำมาต้มน้ำดื่มจะช่วยแก้อาการท้องเสีย และบิด ไม่เพียงเท่านั้นเพราะไฟเบอร์ที่อยู่ในกระท้อน เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วก็ยังสามารถช่วยปรับระบบการทำงานของลำไส้ให้กลับมา เป็นปกติได้อีกด้วย


5. อุดมด้วยวิตามิน

          กระท้อนเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบีและซี ซึ่งจะช่วยรักษาป้องกันอาการเลือดออกตามไรฟันได้ รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในกระท้อนยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอัลไซเมอร์ นอกจากนี้วิตามินบีในกระท้อนก็ยังมีส่วนในการกระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น และป้องกันความเสี่ยงโรคพิการแต่กำเนิดของทารกในครรภ์ได้

 

6. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

          สำหรับ ผู้ป่วยเบาหวาน กระท้อนคือผลไม้ยอดคุณที่ไม่ควรพลาด เพราะไฟเบอร์ในกระท้อนยังเข้าไปช่วยชะลอการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทำให้น้ำตาลที่มาจากอาหารถูกย่อยเป็นกลูโคสช้าลง และยับยั้งไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น อีกทั้งกระท้อนยังมีน้ำตาลต่ำ กินเข้าไปแล้วไม่กระทบกันระดับน้ำตาลของผู้ป่วยแน่นอน

 

7. ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้

          ด้วยปริมาณไฟเบอร์ที่สูงของกระท้อน จึงทำให้กระท้อนกลายเป็นอาหารอีกหนึ่งชนิดที่สามารถช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ได้ เพราะไฟเบอร์ในกระท้อนนั้นจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย ทำให้ลำไส้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องห่วงว่าจะท้องผูก หรือเกิดภาวะลำไส้แปรปรวนจนเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้เลยล่ะ

 

8. ตัวช่วยลดน้ำหนัก

          หวานน้อยและไฟเบอร์มาก เป็นคุณสมบัติที่ดีของอาหารที่ควรรับประทานในช่วงลดน้ำหนัก และกระท้อนก็คือหนึ่งในนั้นค่ะ การรับประทานกระท้อนจะช่วยให้ได้รับไฟเบอร์มากขึ้น ทำให้อิ่มนาน และไม่หิวบ่อย ส่วนน้ำตาลที่อยู่ในกระท้อนก็ยังเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติที่ร่างกายนำไปใช้ได้ ทันทีอีกด้วย

 

9. รักษาโรคผิวหนัง

          นอกจากเป็นอาหารที่ถูกปากแล้ว กระท้อนก็ยังถือเป็นสมุนไพรอีกด้วย โดยใบของกระท้อนสามารถนำมาบดเพื่อรักษาโรคผิวหนังได้หลายชนิดไม่ว่าจะเป็น โรคสะเก็ดเงิน ผื่น กลาก และโรคผิวหนังอื่น ๆ ได้


เมนูกระท้อน อาหารคาวก็ดี เป็นของหวานก็อร่อย

          กระท้อน เป็นผลไม้ที่สามารถนำมาทำได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะนำมารับประทานแบบสด ๆ หรือจะนำมาปรุงอาหารทั้งคาวและหวานก็ได้ทั้งนั้น ถ้าหากยังนึกไม่ออกว่ากระท้อนสามารถทำอะไรได้บ้าง ลองมาดูนี่เลยค่ะ

          - กระท้อนลอยแก้ว สูตรน้ำมะตูม หวานเย็นชื่นใจคลายร้อน
          - ส้มตำกระท้อนกุ้งสด เมนูลดน้ำหนักสุดแซ่บแบบอีสาน
          - 2 เมนูอร่อยจากกระท้อนปุยฝ้าย เปรี้ยวแซ่บอมหวาน


ข้อควรระวังในการรับประทานกระท้อน

          แม้กระท้อนเป็นผลไม้ที่มีรสชาติดีและช่วยบำรุงสุขภาพ แต่ก็ควรจะรับประทานอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเมล็ดของกระท้อนมีลักษณะค่อนข้างใหญ่และลื่น หากไม่ระวังอาจจะไหลติดคอจนทำให้หายใจไม่ออกได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเมล็ดกระท้อนจะดีที่สุด นอกจากนี้ควรรับประทานผลกระท้อนในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะถ้าหากกินเยอะมากไป อาจจะทำให้เกิดท้องเสียได้ค่ะ

          เรียกได้ว่าเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่โดดเด่นทั้งรสชาติและคุณค่าเลย แต่นอกจากสรรพคุณทางด้านสุขภาพแล้ว ขอบอกว่าเจ้ากระท้อนเนี่ยก็ยังสามารถนำไปบำรุงผลผลิตทางการเกษตรต่อได้ด้วย นะ ด้วยการนำกระท้อนไปทำน้ำหมักกระท้อนเพื่อใส่ต้นไม้ได้อีก ของดีมีประโยชน์แบบนี้ต้องยกให้เป็นสุดยอดผลไม้ที่ควรหารับประทานเลยจริง ๆ ค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง
paulhaider.wordpress.com
prohealthlaw.com
fruitsinfo.com
http://health.kapook.com/view150857.html
เครดิตภาพ 
http://health.kapook.com/view150857.html

Wednesday, June 15, 2016

10 วิธีง่าย ๆ ที่ทำให้ลูกสัมผัสได้ถึงความรักจากพ่อและแม่




วิธีเลี้ยงลูก 10 วิธีง่าย ๆ ที่ทำให้ลูกสัมผัสได้ถึงความรักจากพ่อและแม่ แค่ทำตามนี้ คุณลูกก็แฮปปี้ ครอบครัวก็จะอบอุ่นแน่นอน ^_^

           คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่คะว่า สิ่งที่สำคัญมากไปกว่าการได้ของเล่นชิ้นโต หรือได้กินขนมสุดโปรดเป็นประจำ นั่นก็คือการได้รับความรักจากคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง และถึงแม้ว่าคุณจะบอกว่าคุณก็ต้องรักลูกของตัวเองแน่นอนอยู่แล้ว แต่นั่นก็เป็นแค่คำพูดที่เขาอาจจะไม่สามารถสัมผัสได้จริง ๆ ฉะนั้นหากอยากให้ลูกรู้สึกได้ถึงความรักของพ่อกับแม่แล้วละก็ ลองทำตาม 10 วิธีนี้ที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากเลยค่ะ รับรองว่าเขาจะมีความสุขและรู้สึกอบอุ่นแบบสุด ๆ เลยล่ะ

1. ใช้เวลาร่วมกับเขา

           ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคุณพ่อคุณแม่สมัยนี้ ต้องเสียเวลาไปกับเรื่องงานและเรื่องอื่น ๆ มากมาย จนอาจเรียกได้ว่าแทบไม่มีเวลาได้อยู่กับลูกเลย ฉะนั้นเมื่อไรที่ถึงวันหยุดหรือวันว่าง ก็ควรใช้เวลาอันแสนวิเศษนี้แหละกับเจ้าตัวน้อย อาจจะจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ที่บ้าน หรือพาเขาออกไปสวนสนุก ไปซื้อของเล่น หรืออะไรก็ได้ที่คุณคิดว่าเขาจะมีความสุข

2. ฟังทุกสิ่งที่เขาเล่า

           เด็กก็คือเด็กนั่นแหละค่ะ พวกเขาก็อยากจะพูดอยากจะเล่าอะไรให้คุณพ่อคุณแม่ฟังในสิ่งที่เจอมา ซึ่งคุณก็ควรรับฟังเขาอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ฟังแล้วตอบส่ง ๆ ไปอย่างเดียวนะคะ ^_^

3. บอกรักกันบ่อย ๆ

           เป็นวิธีที่ดีและตรงที่สุดแล้ว ที่ลูกจะรับรู้ได้ว่าคุณพ่อคุณแม่รักเขามากแค่ไหน หากอยากให้คุณลูกรู้สึกสำคัญและรู้สึกอบอุ่นละก็ บอกรักเขาบ่อย ๆ เท่าที่จะทำได้เลยค่ะ รับรองว่าเขาจะแฮปปี้แน่นอน

4. กอดและหอมเมื่อมีโอกาส

           เมื่อมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับลูกแล้ว วิธีที่จะเป็นการมอบความรักได้ดีที่สุด ก็คือการกอดและหอมแก้มเขานี่แหละ ลองทำดูสิคะ แล้วคุณจะได้เห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ บนหน้าของเขาขึ้นมาเลย

5. เขียนโน้ตติดไปที่กล่องข้าวกลางวัน

           หากคุณพ่อคุณแม่คนไหนทำข้าวกลางวันใส่กล่องไปให้ลูกกินที่โรงเรียน แทนที่จะมีแค่อาหารอร่อย ๆ ด้านใน ก็ลองเขียนโน้ตบอกรักเขาไป หรือเขียนรูปตัวการ์ตูนอะไรลงไปก็ได้ แค่นี้เขาก็จะรับรู้ได้ถึงความรักที่คุณมีให้แล้ว

6. ถามไถ่ชีวิตประจำวันของเขา

           หลังกลับมาจากโรงเรียนทุกวัน หรือวันไหนก็ตามที่มีโอกาสได้คุยกับเขา ลองถามไถ่ชีวิตประจำวันของเขาดู หรืออาจจะถามเรื่องเรียน เรื่องอนาคต หรือเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับตัวเขาดูสิ นี่แหละที่แสดงออกให้เห็นว่าคุณสนใจและให้ความสำคัญกับเขามากแค่ไหน

7. พาเขาออกไปกินข้าวนอกบ้าน

           เมื่อคุณพ่อคุณแม่มีนัดออกไปดินเนอร์นอกบ้าน หรือวันไหนที่ว่าง ๆ ไม่ได้มีธุระอะไร ก็อาจจะลองพาเขาไปกินข้าวนอกบ้านเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีนะคะ เขาจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตา และได้กินอะไรอร่อย ๆ ที่สำคัญคือได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตานี่แหละ

8. ชื่นชมเมื่อเป็นเด็กดี

           เมื่อไรที่ลูกทำดีหรือเป็นเด็กดี คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนิ่งเฉย แต่ควรมอบคำชื่นชมให้กับเขาเป็นรางวัล บอกเลยว่าไม่ต้องมีของขวัญอะไรมาให้ แค่คำพูดดี ๆ คำชมจากคุณนี่แหละคือของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว

9. รักษาสัญญา

           ไม่ว่าจะเป็นการสัญญาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น จะพาไปเที่ยวสวนสนุก หรือจะพาไปกินขนมหวานร้านน่ารัก ๆ บอกเลยว่าหากคุณสัญญาแล้วไม่ทำตาม อาจจะทำลายความรู้สึกของลูกได้นะคะ ทางที่ดีสัญญาอะไรไว้ก็ควรทำตามที่บอกไว้จะดีกว่าเนอะ

10. ทำให้เขายิ้ม

           บอกเลยว่าการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เขายิ้มได้นี่แหละ เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นการปลุกด้วยการหอมแก้ม หรือมีเซอร์ไพรส์น่ารัก ๆ ให้เขายิ้มและหัวเราะได้อย่างมีความสุข บอกเลยว่าแค่นี้เขาก็รับรู้ได้แล้วว่าคุณรักเขามากแค่ไหน

           เห็น ไหมล่ะคะว่า การทำให้ลูกมีความสุขและรู้สึกอบอุ่นหัวใจได้มากแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเลย ถึงแม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่ค่อยมีเวลาให้ แต่ถ้ามีโอกาสก็ลองทำตาม 10 วิธีนี้ไว้ รับรองว่าครอบครัวของคุณจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นแข็งแรงแน่นอนค่ะ

http://baby.kapook.com/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81-149735.html
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/61572719876366541/

Wednesday, June 1, 2016

10 เมนูอาหารจานเดียว ไม่อ้วน ให้พลังงานต่ำกว่า 300 กิโลแคลอรี




อาหารจานเดียวไม่อ้วน 10 เมนูนี้ กินแล้วไม่สะเทือนแผนลดน้ำหนักแน่ ๆ เพราะให้พลังงานแค่ไม่เกิน 300 กิโลแคลอรี

          กินอาหารนอกบ้านยังไงไม่ให้อ้วน สำหรับคนที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนักและกำลังพยายามควบคุมอาหาร ครั้นจะให้กินอาหารคลีน ทุกวันก็อาจไม่สะดวกเท่าไรวันนี้เราก็มีทางเลือกแบบวิน-วินมาให้ นี่ไง 10 เมนูอาหารตามสั่งไม่อ้วน โดยคัดมาแต่เมนูที่ให้พลังงานไม่เกิน 300 กิโลแคลอรี ตามข้อมูลพลังงานในอาหารจานเดียวจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

1. ส้มตำ

          ส้มตำปริมาณ 100 กรัมโดยประมาณ จะให้พลังงานอยู่ที่ 28 กิโลแคลอรี แต่โดยปกติแล้วส้มตำ 1 จานก็อาจจะมีปริมาณมากกว่า 100 กรัม ทว่ายังไงก็คงให้พลังงานไม่เกิน 100 กิโลแคลอรีแน่ ๆ และหากจะขอลดความหวานของส้มตำด้วย ก็จะช่วยลดพลังงานแคลอรีจากอาหารจานนี้ได้อีกค่ะ

2. เกี๊ยวน้ำ

          แม้ตัวเกี๊ยวจะเป็นแป้ง แต่เกี๊ยวน้ำ 1 ถ้วยในปริมาณ 523 กรัม ให้พลังงานน้อยกว่าที่คิด เพราะมีเพียง 141 กิโลแคลอรีต่อถ้วยเท่านั้น ทว่าหากลดน้ำหนักอย่างเคร่งครัดจริง ๆ อาจขอเพิ่มผัก และไม่ใส่กระเทียมเจียวเพื่อตัดแคลอรีไปได้อีก

3. เกาเหลาเนื้อตุ๋น

          สำหรับคนที่พยายามเลี่ยงแป้ง เกาเหลาคือคำตอบที่ดีที่สุดค่ะ และจะเยี่ยมมากหากสั่งเกาเหลาแบบเพิ่มผัก ไม่ใส่ลูกชิ้นทอด กระเทียมเจียว และบอกแม่ค้าว่าขอปรุงรสเอง อ้อ ! เกาเหลาชามนี้ให้พลังงานอยู่ที่ 149 กิโลแคลอรีเบา ๆ ต่อปริมาณเกาเหลา 310 กรัม

4. สุกี้รวมมิตรน้ำ

          เมนูลดน้ำหนักยอดฮิตอันดับต้น ๆ อย่างสุกี้รวมมิตรน้ำ 1 ชามในปริมาณ 530 กรัม จะให้พลังงานเพียง 207 กิโลแคลอรีเท่านั้นเอง

5. กระเพาะปลา

          กระเพาะปลา 1 ชาม ปริมาณ 392 กรัม จะให้พลังงานที่ 239 กิโลแคลอรี แต่ถ้าเซย์โนเส้นหมี่ ไม่กินหนังไก่ ไข่นกกระทา ก็จะให้พลังงานที่น้อยลง

6. ขนมจีนน้ำเงี้ยว

          มา ที่อาหารทางภาคเหนือบ้าง ขนมจีนน้ำเงี้ยว 1 ชาม ปริมาณ 323 กรัม ให้พลังงานประมาณ 243 กิโลแคลอรี แต่ทั้งนี้ก็ขอแม่ค้าว่าไม่ใส่กระเทียมเจียว พริกทอด ที่สำคัญอย่าเผลอกินแคบหมูไปด้วยล่ะ

7. เส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อ

          1 ชามในปริมาณ 490 กรัม ของเส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อ จะให้พลังงานราว ๆ 258 กิโลแคลอรี แต่ถ้าไม่ใส่กระเทียมเจียว และเน้นกินผักเยอะหน่อย แคลอรีก็จะต่ำลงกว่านี้นะจ๊ะ

8. ก๋วยเตี๋ยวหลอด

          เมนู นี้ให้พลังงานเพียง 266 กิโลแคลอรี ต่อปริมาณก๋วยเตี๋ยวหลอด 1 จาน (216 กรัม) และถ้าไม่ใส่กระเทียมเจียว แคลอรีก็จะน้อยลงกว่านี้อีก

9. ก๋วยจั๊บน้ำข้น

          ก๋วยจั๊บน้ำข้น 1 ชาม (346 กรัม) ให้พลังงานอยู่ที่ 279 กิโลแคลอรี แต่ทั้งนี้ก็พยายามเลี่ยงหมูกรอบ มันหมู และกระเทียมเจียวด้วยนะคะ อ้อ ! แต่ถ้าเปลี่ยนมากินก๋วยจั๊บน้ำใส จะเหลือพลังงานแค่เพียง 259 กิโลแคลอรี ลดไปตั้ง 20 กิโลแคลอรีแน่ะ

10. บะหมี่ต้มยำ

          บะหมี่ต้มยำ 1 ชาม (420 กรัม) ให้พลังงาน 310 กิโลแคลอรี แม้เมนูนี้จะให้พลังงานเกิน 300 กิโลแคลอรีไปนิด แต่อย่าลืมว่าเราสามารถลดแคลอรีได้ด้วยการไม่ใส่กระเทียมเจียว เน้นผัก และไม่กินกากหมูนะคะ

          นอกจากจะเลือกรับ ประทานอาหารจานเดียวที่ให้พลังงานต่ำแล้ว ยังควรงดน้ำหวาน ขนมทุกชนิด เน้นดื่มแต่น้ำเปล่า และออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 20-30 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งร่วมด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพที่ดีและหุ่นสวย ๆ ของเราเองนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
กองโภชนาการ กรมอนามัย
กองโภชนาการ กรมอนามัย
สำนักโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข
สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล
http://health.kapook.com/view149389.html