Saturday, May 30, 2015

10 สิ่งที่พ่อแม่ควรกันไว้ให้ห่างจากลูก ๆ




           การดูแลเด็กนั้นเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ ที่ยังไม่ประสีประสาถึงอันตรายใกล้ตัวที่มีอยู่รอบด้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งเครื่องใช้ธรรมดา ๆ ในบ้านที่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร เพราะฉะนั้น เราจึงคอยเอาใจใส่ลูกอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ต้องเจ็บตัวโดยรู้เท่าไม่ถึงการ ด้วยการปกป้องลูกจากสิ่งที่เป็นอันตรายเหล่านี้

1. กระเป๋าของคุณ

          บางครั้งเด็ก ๆ ก็ชอบที่จะสำรวจค้นหาสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ รวมไปถึงกระเป๋าที่คุณแม่ชอบเปิดใช้เป็นประจำ เพราะฉะนั้น พยายามอย่าปล่อยกระเป๋าของคุณไว้ใกล้มือลูกนัก เพราะลูกอาจหยิบจับเสปรย์หรือของมีคนบางอย่างมาเล่นให้เกิดอันตรายต่อตัวเอง ได้ นอกจากนี้ บรรดาของมีคมที่คุณพกไว้ในกระเป๋า เช่น กรรไกรตัดเล็บหรือกรรไกรซอยผม ก็ควรใส่ไว้ในกระเป๋าใบเล็ก ๆ อีกชั้นเพื่อป้องกันเผื่อไว้ด้วย

2. ห้องทำงาน

          หากบ้านของคุณเป็นโฮมออฟฟิศ หรือมีห้องทำงานเป็นของตัวเอง ก็ไม่ควรปล่อยให้เด็กไปเล่นที่นั่น เพราะอาจมีอุปกรณ์บางอย่าง เช่น กรรไกร หรือคัตเตอร์ ที่ทำอันตรายต่อเด็กได้ ในขณะเดียวกัน ลูก ๆ ของคุณก็อาจเข้ามาทำลายงานของคุณ ด้วยการขีดเขียนหรือฉีกชิ้นงานของคุณได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น พาเด็ก ๆ ไปเล่นที่อื่นจะดีที่สุด

3. สนามเด็กเล่น

          ถึงแม้ว่าการพาเด็ก ๆ ไปเล่นนอกบ้านตามสนามเด็กเล่นจะเป็นเรื่องดี เพราะช่วยให้ลูกได้เล่นของเล่นชิ้นใหญ่ ๆ ที่ไม่สามารถเล่นที่บ้านได้ แถมยังช่วยให้ได้พบปะเพื่อนใหม่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ควรระวังเชื้อโรคที่จะเข้ามาทำร้ายสุขภาพของลูก ๆ เช่นกัน เราจึงควรเลือกสนามเด็กเล่นที่สะอาดและไม่เก่าจนทรุดโทรมนัก นอกจากนี้ ก็ควรคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกเล่นอะไรที่อันตรายจนเกินไปอีกด้วย

4. กระเป๋าอุปกรณ์เปลี่ยนผ้าอ้อม

          แม้ว่าของในกระเป๋าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของที่ใช้กับเด็กโดยเฉพาะ แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าประมาท เพราะของพวกนี้สามารถทำอันตรายแก่ลูกของคุณได้เช่นกัน เพราะหากใช้ผิดที่ เช่นนำโลชั่นทาผิวเข้าปากหรือทาบริเวณตา ก็อาจส่งผลร้ายกับร่างกายของลูก ๆ ได้ ดังนั้น หลังจากใช้งานแล้ว ควรเก็บของพวกนี้ให้ห่างจากลูกมากที่สุด

5. ดูแลที่นอนของเด็กให้ดี

          คุณไม่ควรเอาเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ขวบมานอนด้วยกันบนเตียงเด็ดขาด เพราะถ้าหากคุณเผลอนอนละเมอไปทับเด็กเข้า เด็กอาจขาดอากาศหายใจจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากนี้ ก็ควรเลือกเปลให้ดีเพื่อความปลอดภัยของลูก ๆ ด้วย ซึ่งคุณไม่ควรเลือกแบบที่มีสภาพไม่มั่นคงแข็งแรง หรือแบบที่มีช่องว่างระหว่างเบาะที่นอนและผนังเปลมากเกินไป เพราะจะทำให้ศรีษะของเด็กเข้าไปติดได้

6. สัตว์เลี้ยงที่คุณรัก

          บางทีสุนัขหรือแมวที่คุณเลี้ยงก็อาจทำอันตรายกับเด็ก ๆ ในบ้านได้เช่นกัน คุณจึงควรกันไม่ให้ลูกของคุณไปยุ่งกับสัตว์เลี้ยงจนกว่าจะโตพอที่จะเล่นกับ พวกมันได้อย่างถูกวิธี โดยเฉพาะในเวลาที่สัตว์เลี้ยงของคุณกำลังเล่นของเล่นหรือกินอาหาร เพราะมันอาจเข้าใจผิดว่าลูกของคุณกำลังจะเข้าไปแย่งของของมันจนหันมาทำร้าย เอาได้ อย่างไรก็ตาม นอกจากสอนลูกของคุณแล้ว ก็ควรฝึกให้สัตว์เลี้ยงของคุณยอมรับสมาชิกใหม่ของบ้านด้วย มันจะได้ไม่รู้สึกน้อยใจว่าถูกแย่งความรักจนมองลูกของคุณเป็นศัตรู

7. อย่าปล่อยเด็กเล่นข้างถังขยะตามลำพัง


          หากถังขยะของคุณมีขนาดเตี้ยระดับที่เด็กสามารถเข้าไปคุ้ยเขี่ยได้ง่าย ๆ ก็ไม่ควรปล่อยให้ลูกเล่นในระยะที่ใกล้ถังขยะตามลำพัง เพราะแน่นอนว่าในถังขยะนั้นมีสิ่งสกปรกอยู่มากมาย และหากลูกของคุณไปหยิบจับหรือเอาเข้าปากล่ะก็ ย่อมส่งผลเสียต่อร่างกายของลูกแน่นอน

8. เลือกรถเข็นให้ดี

          รถเข็นเด็กนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการใช้รถเข็นที่ไม่ดีนั้น อาจนำลูกคุณไปสู่อุบัติเหตุได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ต้องมั่นใจว่ารถเข็นที่คุณซื้อแข็งแรงและมั่นคงพอที่จะไม่ล้มเวลาที่คุณหัก เลี้ยว หรือเบรกไม่อยู่จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้ หลังจากที่ซื้อรถเข็นแล้ว ควรตรวจเช็คสภาพทุกเดือนเพื่อความปลอดภัยของเด็ก ๆ ด้วย

9. ควรระวังตู้เย็นด้วย

          คุณควรจับตาดูแลไม่ให้เด็ก ๆ ไปยุ่งกับตู้เย็นมากนัก โดยเฉพาะคนที่มีตู้เย็นขนาดเล็กและมีน้ำหนักเบาที่เด็กสามารถเปิดได้ด้วยตัว เอง เพื่อไม่ให้ลูก ๆ ที่รู้เท่าไม่ถึงการเข้าไปเล่นในตู้เย็น และติดอยู่ข้างในจนไม่สามารถเปิดออกมาได้ ดังนั้น ควรหาซื้อที่ล็อคตู้เย็นมาติดไว้ในส่วนที่เด็กเอื้อมถึง เพื่อไม่ให้ลูกสามารถเปิดได้ นอกจากนี้ก็ควรสอนลูกให้รู้ด้วยว่า การเข้าไปเล่นในตู้เย็นนั้นอันตรายแค่ไหน

10. เก็บพวกสารเคมีต่าง ๆ ไว้ในที่สูง

          อุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลายควรวางไว้บนชั้นสูง ๆ ที่เด็กไม่สามารถเอื้อมถึง ในขณะเดียวกันพวกยาที่คุณเก็บไว้ก็ควรจะถูกล็อคเก็บอย่างมิดชิดอยู่ในตู้ เช่นกัน เพื่อความปลอดภัยของเด็ก ๆ รวมถึงสัตว์เลี้ยงของคุณด้วย เพราะสารเคมีบางชนิดอาจมีฤทธิ์ร้ายแรง จนถึงขั้นทำอันตรายถึงชีวิตได้

          อย่างไรก็ตาม ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิด แต่อย่าปกป้องลูกมากจนเกินไป สิ่งไหนที่ไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรง ก็ควรให้ลูกได้ลองสำรวจและเรียนรู้ด้วยตัวเองบ้าง เพื่อเป็นประสบการณ์ของชีวิตอย่างหนึ่งนะคะ

แหล่งที่มา  http://baby.kapook.com/view41818.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Friday, May 29, 2015

15 สมุนไพรแก้ร้อนในใกล้ตัว รู้แล้วรีบหามาไว้ติดบ้าน !



          แก้ร้อนในด้วยสมุนไพรสุดหาง่าย แค่เพียงใช้สมุนไพรเหล่านี้ อาการร้อนในที่กวนใจรับรองหายเกลี้ยง

          อาการ ร้อนใน นอกจากจะทำให้รับประทานอาหาร หรือพูดไม่สะดวกแล้ว ก็ยังทำให้รู้สึกหงุดหงิด รสชาติอาหารก็เปลี่ยนไปอีก ซึ่งอาการนี้ก็เกิดจากอุณหภูมิภายในร่างกายสูงผิดปกติ โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนแบบนี้ เกิดอาการร้อนในได้ง่ายมาก แต่ถ้าใครไม่อยากจะใช้ยาแผนปัจจุบันในการรักษาต้องลองนำสมุนไพรที่กระปุกด อทคอมคัดมาแล้วว่าสามารถรักษาอาการร­­­้อนในให้หายได้อย่างชะงัด แถมยังหาง่ายสุด ๆ ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงไปหามาใช้แน่นอน

ดอกดาวเรือง

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าดอกดาวเรืองที่เรานำมาบูชาพระหรือร้อยเป็­นพวงมาลัยพวง ใหญ่สำหรับคล้องคอนี่ล่ะค่ะ สามารถรักษาอาการร้อนในได้ โดยการนำดอกไปตากแห้งแล้วมาชงเป็นชาดื่ม จะช่วยลดความร้อนในร่างกายและทำให้ร้อนในลดลงได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำชาจากดอกดาวเรืองมาบ้วนปากเป็นประจำเพื่อร­­­ักษาแผลร้อนในได้อีกด้วยค่ะ แต่ก็ควรนำดอกดาวเรืองจากต้นมาใช้นะคะ เพราะหากใช้ดอกดาวเรืองที่ขายตามท้องตลาดอาจจะมีสารเคมีที่เป็น­­­อันตราย ต่อร่างกายได้


ใบชา

          ชาทั่วไปที่เรานิยมรับประทานนั้นนอกจากจะมีคาเฟอีนแล้วก็ยังอุด­­­มไปด้วยสาร แทนนิน ที่ช่วยลดอาการร้อนในได้ หรืออาจจะลองชงชากับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ เช่น ยูคาลิปตัส แบร์เบอร์รี (Bearberry) ใบเสจ ราสป์เบอร์รี สะระแหน่ และชะเอมเทศ ก็จะช่วยบรรเทาอาการร้อนในได้ดีขึ้นกว่าเดิม

 
ชะเอมเทศ

          ชะเอม ก็เป็นอีกสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยแทนนิน นอกจากนี้ยังมีกรดกลีเซอริทินิค (glycyrrhetinic acid) และสารกลีซีร์ริซิน (glycyrrhizin) ที่มีฤทธิ์ช่วยรักษาแผลร้อนในได้ แต่ทั้งนี้รากชะเอมเทศก็เป็นมีผลข้างเคียงทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น­และ อาการบวมน้ำได้ ดังนั้นผู้ที่มีประวัติความดันโลหิตสูงไม่ควรใช้ค่ะ โดยวิธีการใช้ที่จะช่วยให้ได้ผลดีที่สุดคือการใช้ชะเอมเทศชงกับ­ชาสมุนไพร ชนิดอื่น ๆ โดยมีการศึกษาว่าการใช้ชาที่ผสมชะเอมเทศบ้วนปากสามารถรักษาอาการ­ร้อนในหาย สนิทได้ถึง 75% แถมยังสามารถรักษาให้หายได้ภายในเวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น


ดอกคาโมมายล์

          ถ้าพูดถึงดอกคาโมมายล์ อาจจะดูหายากเสียหน่อย แต่ถ้าพูดถึงชาดอกคาโมมายล์ละก็รับรองว่าหาซื้อมาใช้ได้ง่ายขึ้­­­นมากเลย ใช่ไหมล่ะ โดยชาดอกคาโมมายล์นั้นมีสรรพคุณช่วยในการนอนหลับ แต่อีกประโยชน์หนึ่งที่หลายคนยังไม่ทราบก็คือเจ้าดอกไม้ชนิดนี้­­­สามารถ รักษาอาการร้อนในได้อีกด้วย โดยแค่เพียงนำชาดอกคาโมมายล์มาบ้วนปากวันละ 3 - 4 ครั้ง ก็จะช่วยให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้นค่ะ


ว่านหางจระเข้

          สมุนไพร ที่มีฤทธิ์เย็นอย่างว่านหางจระเข้ ที่สามารถรักษาแผลจากความร้อนได้เกือบทุกชนิด และแผลร้อนในก็เช่นกันแค่เพียงนำว่านหางจระเข้ไปคั้นน้ำ แล้วบ้วนปากครั้งละ 1 - 3 ช้อนโต๊ะ เป็นประจำทุกวัน วันละ 3 ครั้ง ก็จะช่วยให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้นค่ะ


ดอกแค

          ดอกแคที่เรานำมาทำเป็นอาหารก็เป็นยารักษาร้อนในได้เหมือนกันนะค­­­ะ เพราะดอกแคไม่ว่าจะเป็นดอกแคขาวหรือดอกแคแดง ก็มีฤทธิ์เย็นสามารถช่วยรักษาอาการร้อนใน ลดไข้ ลดน้ำมูก และแก้ปวดหัวได้ โดยนำดอกแคมาต้มกับน้ำรับประทานก็จะทำให้ร่างกายภายในเย็นลง ส่งผลดีกับแผลร้อนในค่ะ


ใบบัวบก

          คงจะเคยได้ยินกันว่าดื่มน้ำใบบัวบกแล้วสามารถลดอาการช้ำในได้ แต่ขอบอกเลยว่าไม่เพียงแต่ช้ำในที่รักษาได้ ร้อนในก็รักษาได้เหมือนกัน เพราะใบบัวบกมีฤทธิ์เย็น ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ซึ่งในปัจจุบันนี้สามารถหารับประทานเป็นแคปซูลได้ หรือจะนำใบมาคั้นน้ำก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน

         ข้อควรระวังก็คือ อาจจะมีผลข้างเคียงกับผู้ที่ป่วยโรคเบาหวานและคอเลสเตอร­อลในเลือดสูง โดยใบบัวบกอาจจะทำให้ประสิทธิภาพของยาที่ใช้รักษาโรคเหล่านี้ลดลงค่ะ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนนำมาใช้จะดีกว่า


รางจืด

          สมุนไพร รางจืด เป็นพืชสมุนไพรที่ช่วยแก้พิษไข้ ลดความร้อนในร่างกาย โดยการนำรางจืดที่โตเต็มวัยไปตากแห้งแล้วนำมาชงดื่ม หรือจะรับประทานแบบแคปซูลก็ได้เช่นกัน แต่ผลข้างเคียงของรางจืดก็มีเช่นเดียวกับใบบัวบก ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ค่ะ


ฟักเขียว

          ฟักเขียว เป็นผักสวนครัวที่มีฤทธิ์เย็น สามารถช่วยขับความร้อนในร่างกายได้ เหมาะสำหรับคนที่เป็นร้อนใน โดยจะนำมาทำเป็นอาหารคาวหวาน หรือนำมาปั่นดื่มก็ได้ สามารถลดความร้อนในร่างกายและทำให้แผลร้อนในยุบตัวเร็วขึ้น


มะระขี้นก

          ขึ้นชื่อว่ามะระขี้นก หลายคนคงส่ายหน้าเพราะรสชาติที่ขม แต่จริง ๆ แล้วเจ้าพืชชนิดนี้เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากจะสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ยังช่วยขับความร้อนในร่างกายได้ ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลงจนอยู่ในภาวะปกติ และทำให้แผลร้อนในเย็นลงและค่อย ๆ หายไปในที่สุด


แตงกวา

          แตงกวา เป็นพืชผักที่มีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบมาก ๆ ก็จะช่วยให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลง โดยแตงกวาสามารถนำมาทำเป็นอาหารคาวได้ หรือถ้าไม่ซีเรียสกับกลิ่นเหม็นเขียวของแตงกวา ก็สามารถนำมาปั่นรับประทานเย็น ๆ เป็นเครื่องดื่มได้ค่ะ


ฟ้าทะลายโจร

          แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกขมแล้ว สงสัยล่ะสิว่าทำไมฟ้าทะลายโจรถึงช่วยรักษาร้อนในได้ ก็เพราะฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรเย็นไงล่ะ ฤทธิ์เย็นของฟ้าทะลายโจรจะช่วยให้แผลร้อนในหายได้เร็วขึ้น ทั้งนี้หากรับประทานขณะที่เป็นไข้ก็สามารถลดไข้ได้เช่นกัน แต่ถ้าฟ้าทะลายโจรสด ๆ อาจจะรับประทานยากไปเสียหน่อย ลองหาแบบแคปซูลหรืออัดเม็ดจะรับประทานได้สะดวกกว่าค่ะ


ย่านาง

          ใบย่านาง สมุนไพรมากคุณประโยชน์ ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในอาหารเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง ใบย่านางนั้นถูกนำไปทำอาหารได้หลากหลาย หรือแม้แต่ต้มกับน้ำดื่มเพื่อรักษาอาการต่าง ๆ ซึ่งย่านางก็เป็นสมุนไพรอีกชนิดที่มีฤทธิ์เย็น สามารถช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ และเมื่อความร้อนในร่างกายลดลง แผลร้อนในก็จะค่อยยุบลงค่ะ


สะเดา

          สะเดา เป็นพืชสมุนไพรอีกชนิดที่สามารถนำมารักษาอาการได้หลากหลาย­­­ และนำเกือบทุกส่วนมาใช้ได้ แต่หากต้องการลดอาการร้อนใน และดับพิษร้อนในร่างกาย ให้นำยางสะเดามารับประทานค่ะ โดยรสชาติของยางสะเดาจะมีรสที่ขมเย็น ไม่เพียงเท่านั้น ยอดอ่อนและดอก ก็ยังสามารถนำมาลวกจิ้มรับประทานกับน้ำพริกช่วยขับความร้อนในร่­­­างกายได้ อีกด้วย


บอระเพ็ด

          ปิดท้ายกันด้วยสมุนไพรรสขมอีกชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำทุกส่วนของต้นมาใช้ลดความร้อนและแก้ร้อนในได้เป็นอย­­­่างดี เพียงนำเถาแก่สด หรือต้นสดตำแล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือจะต้มกับน้ำก็ได้เช่นกัน แต่ถ้ารู้สึกว่าขมเกินไปจนไม่กล้ารับประทานละก็ลองเติมน้ำผึ้งล­­­งไปเล็กน้อยก็จะช่วยดับขมได้ค่ะ

 
          เป็นอย่างไรกันบ้างกับสมุนไพรทั้ง 15 ชนิดที่นำมาฝากกัน เห็นไหมล่ะว่าหาง่าย แถมยังช่วยแก้อาการร้อนในได้อีกด้วย มีดีขนาดนี้ใครที่มีแผลร้อนในในปากจนแทบจะขยับปากไม่ได้ ก็ไปหามาใช้กันดูเนอะ จะได้หายไว ๆ ค่ะ

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Thursday, May 28, 2015

10 วิธี หยุดคุณหนูฉี่รดที่นอน




         การฝีกการขับถ่ายลูกน้อยวัยเบบี๋ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความร่วมมือและความใจเย็นของคุณพ่อคุณแม่ เพราะกระเพาะปัสสาวะของลูกน้อยมีขนาดเล็กมาก จึงไม่สามารถควบคุมการกักเก็บปัสสาวะไว้ได้นาน ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมก็มีเคล็ดลับการฝึกลูกน้อยขับถ่ายได้ด้วยตัวเองจาก นิตยสาร Mother&Care มาแนะนำคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ...

         อยากให้ลูกรู้จักชินในการขับถ่ายได้เองคงต้องอาศัยเวลากันสักระยะหนึ่ง อาจ 1 เดือน 2 เดือน หรือตลอดปีที่ 2 สำหรับเด็กบางคนอาจใกล้ 3 ขวบถึงจะขับถ่ายได้ดี ดังนั้นถ้าคิดจะฝึกการขับถ่ายให้ลูก ลองใช้ยุทธวิธีเหล่านี้ก่อนค่ะ

1. เข้าใจพัฒนาการหนูก่อนนะ

           การควบคุมการขับถ่าย ขึ้นอยู่กับความพร้อมของกล้ามเนื้อหูรูดและสมองส่วนที่ควบคุมประสาทสัมผัส นักจิตวิทยาเด็กพบว่า ช่วงที่ประสบความสำเร็จ คือช่วงที่ลูกเริ่มให้ความสนใจในการขับถ่ายจึงจะสามารถฝึกได้ดี

2. อย่าเร่งรัด หรือบังคับหนูเลย

           อย่าใจร้อนไปเร่งรัดให้ลูกขับถ่ายเร็ว ๆ เพราะถ้ากล้ามเนื้อส่วนที่ถูกควบคุมการขับถ่ายยังไม่พร้อม ก็จะไม่ประสบความสำเร็จได้ ยิ่งมีท่าทีบังคับลูกก็จะยิ่งกลั้นไว้ ทำให้ลูกเป็นทุกข์ และมีปัญหาในการขับถ่ายตามมา

3. ชมเชย ให้กำลังใจหนูได้ไหม

           เมื่อลูกบอกความต้องการที่จะฉี่หรืออึได้ ควรชมและให้กำลังใจลูกทุกครั้งที่ลูกบอกได้ก่อน หรือแม้แต่เมื่อลูกบอกหลังจากฉี่หรืออึไปแล้วก็ควรชม เพราะอย่างน้อยเหล่านี้ก็แสดงถึงความรับผิดชอบต่อตนเองของลูก

4. อย่าลงโทษหนูสิจ๊ะ

           เพราะการลงโทษ การดุว่าตำหนิลูกตีลูก มีแต่จะทำให้ลูกเกิดการต่อต้านดื้อรั้น เกิดความกลัว ความโกรธ ไม่ยอมขับถ่าย กลายเป็นเด็กสอนยากสอนเย็น แต่ควรใช้การให้รางวัล การชมเชย การให้กำลังใจจะดีกว่า

5. ใส่ชุดถอดง่ายให้หนูหน่อยนะ

           ใช้ผ้าอ้อมกับลูกให้น้อยที่สุด แล้วหันมาใส่กางเกงเอวยางยืดให้ลูกถอดได้ง่าย ลูกถอดได้เองทันเวลา หรือจัดการเปลี่ยนได้เร็วขึ้น การหากางเกงที่ถอดใส่ได้ง่าย จะทำให้ลูกภูมิใจที่ช่วยเหลือตัวเองได้ในเรื่องนี้ค่ะ

6. อย่ามาคาดหวังกับหนูเลย

           อย่าคาดหวังจริงจังกับการฝึกขับถ่ายจนกว่าลูกจะครบ 2 ขวบ ซึ่งลูกจะควบคุมการขับถ่ายได้ค่อนข้างดี จะอึเป็นเวลาตอนกลางวัน บอกหรือแสดงอาการให้รู้ว่าต้องการจะอึได้ ส่วนการควบคุมฉี่มักทำได้ในภายหลังค่ะ

7. สังเกตอาการของหนูบ้าง

           คอยสังเกตอาการเวลาลูกต้องการจะอึฉี่ เมื่ออยากขับถ่ายลูกจะแสดงอาการให้รู้ได้ชัดเจน โดยมีสีหน้าท่าทางกับคำพูด ส่วนใหญ่ลูกจะบอกฉี่ไม่ค่อยทัน คือฉี่ออกมาแล้วถึงค่อยบอกให้รู้ แต่ถ้าปวดอึลูกจะบอกได้ทัน

8. อย่าลืมพาหนูเข้าห้องน้ำด้วย

           เมื่อลูกดื่มนมก่อนนอน ควรพาเข้าห้องน้ำก่อนจนติดเป็นนิสัย หรือเมื่อลูกฉี่ไปได้สัก 2 ชม. ก็ควรพาเข้าห้องน้ำ หรือไม่ว่าจะทั้งก่อนกินข้าวและหลังกินข้าวไป 2 ชม. ก็ให้ทำเช่นกัน เพื่อที่ลูกจะได้ไม่ปัสสาวะรดกางเกงค่ะ

9. ฝึกหนูพึ่งตัวเองก็ดีนะ

           การ ฝึกให้ลูกเข้าห้องน้ำเอง กดชักโครกเอง ตักราดเอง ถอดเสื้อผ้ากางเกงเอง โดยเตรียมเสื้อผ้ากางเกงที่ใส่ได้ง่าย ๆ ให้ลูกด้วย ก็จะช่วยให้ลูกพึ่งตัวเองได้ ทำให้ลูกค่อย ๆ เรียนรู้ว่าถ้าปวดอึหรือฉี่จะจัดการกับตัวเองอย่างไร

10. อย่าสนใจแต่น้องได้ไหมจ๊ะ

           การมุ่งสนใจน้องที่เกิดใหม่ จะทำให้ลูกน้อยใจ ปล่อยฉี่อึรดเป็นทารก เรียกร้องความสนใจ จึงควรให้ความสนใจพี่คนโตให้มาก บอกให้ลูกรู้เสมอว่าพ่อแม่ยังรักลูกเหมือนเดิม แม้ว่าจะมีน้องใหม่ลูกก็สำคัญเสมอ


แหล่งที่มา  http://baby.kapook.com
เครดิตภาพ  http://telepics.net/peoples/8688-cute-child.html