Wednesday, September 30, 2015

น่ารักจัง หนูน้อยแข่งเบสบอลอยู่ แต่จู่ ๆ ก็แวะบอกรักพ่อ ก่อนวิ่งต่อในสนาม




       แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วินาทีระหว่างเกมการแข่งขัน แต่พ่อหนูน้อยคน นี้กลับแอบวิ่งปรี่เข้าไปทางโค้ชคุณพ่อพร้อมกับบอกว่า "ผมรักพ่อครับ" ก่อนจะรีบวิ่งต่อในสนามแบบเนียน ๆ  น่ารักน่าเอ็นดู เห็นแล้วหลงรักจริง ๆ

        เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2558 เว็บไซต์เดลี่เมล เผย คลิปชวนยิ้มของหนุ่มน้อยน่าเอ็นดูที่เห็นแล้วรู้สึกปลื้มปริ่มหัวใจแทนคุณ พ่อรายนี้เลย ขณะเขากำลังถ่ายวิดีโอลูกชายนามว่า ชิป ที่กำลังแข่งกีฬาเบสบอลอยู่ในสนาม โดยหลังจากหนูน้อยตีลูกแล้วกำลังวิ่งจากเบสแรกไปยังเบสสองในสนาม ท่ามกลางเสียงเชียร์ของคุณพ่อที่บอกให้วิ่งเร็ว ๆ เลยลูก แต่จู่ ๆ เจ้าหนูก็วิ่งตรงมาหยุดอยู่ที่หน้าของคุณพ่อซึ่งเป็นโค้ชอยู่ข้างสนามซะงั้น

 

 

          พ่อหนุ่มชิปมีสีหน้าตั้งใจคล้ายกับมีบางอย่างจะบอกกับโค้ชคุณพ่อ แต่คุณพ่อกลับเซอร์ไพรส์เมื่อสิ่งที่เขาจะบอกก็คือคำว่า "ผมรักพ่อครับ" ด้วยรักที่ใสซื่อของลูกน้อย ทำเอาคนเป็นพ่อหัวใจพองโตคว้าตัวลูกชายมากอด ก่อนจะบอกให้หนุ่มน้อยรีบวิ่งกลับเข้าไปแข่งขันต่ออย่างเอ็นดู พร้อมกับตะโกนบอกลูกชายว่า "พ่อก็รักลูกเหมือนกัน" เห็นแล้วอบอุ่นหัวใจไม่น้อยเลย

 

 

         หลังจากคลิปดังกล่าวถูกโพสต์ลงเว็บไซต์ยูทูบ ก็ทำให้มีผู้เข้าไปชมมากมาย แน่นอนพวกเขาต่างพากันเอ็นดูและหลงรักพ่อหนุ่มตัวน้อยคนนี้ไปตามกัน

 

 

ภาพจาก America's Funniest Home Videos สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

http://baby.kapook.com

 


Monday, September 21, 2015

โอ้โหเป๊ะเว่อร์ มาดูภาพเด็ก-ตุ๊กตา ที่เหมือนกันราวกับฝาแฝด




เด็กน้อยกับตุ๊กตา ไม่ว่ายังไงก็เป็นของคู่กัน แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า กับบางคู่นี่จะ "คู่" กันได้เป๊ะอย่างกับฝาแฝดแบบนี้ เหมือนอย่างกับแกะเลย

รูปชวนขันแกมเอ็นดูของเบบี๋กับตุ๊กตาคู่เหมือน ที่บรรดาคุณพ่อคุณแม่จากทั่วโลกมาแชร์กันให้ดู บอกเลยว่าเหมือนอย่างกะฝาแฝด เห็นแล้วชักสงสัย ตุ๊กตาผลิตออกมาเพราะมีเด็กน้อยเหล่านี้เป็นต้นแบบหรือเปลี่ยนเนี่ย จะเหมือนแค่ไหนไปดูกัน

จ้ำม่ำ แก้มป่อง ผมแกละแบบนี้ คนนี้น้องสาวฝาแฝดหนูเองค่ะ

กำลังชวนเพื่อนฝึกคลานอยู่ค่ะ

ลูกเชร็คตัวจริงนี่ซ้ายหรือขวากันล่ะ ? 

แม้แต่ท่านั่งยังเหมือนกันเป๊ะ

ถ้าไม่รู้เหมือนตรงไหน ให้ดูที่พุง อิอิ 

อร๊ายยย หลับแก้มย้อยน่าเอ็นดู >.<

เดี๋ยวนะลูก ตกลงนี่ใครนั่งเลียนแบบใครกันแน่ ?

                                                            แอ๊ะ เราคล้ายกันมั้ยคะ 

                                  ใครว่าหนูแก้มป่อง ไม่จริงนะ เจ้าตุ๊กตานี่ป่องกว่าตั้งเยอะ

                                     เธอเป็นใครอะ ทำไมเอาของของเรามาใช้ล่ะเนี่ย  

                                                            แม่ขาดูนี่ เหมือนมั้ย ๆ 

                                                 ตาโตแป๋วแหววถอดแบบกันมาเป๊ะ 

                                                             คนนี้ฝาแฝดของหนูเองค่ะ

                                                              ท่าหลับก็อปกันมาชัด ๆ  

 
ภาพจาก recreoviral.com
หมายเหตุ   คัดมาบางภาพ

Thursday, September 17, 2015

7 พฤติกรรม พ่อแม่ทำร้ายลูก





         การเลี้ยงลูกต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะพฤติกรรมบางอย่างของคุณพ่อคุณแม่อาจทำร้ายลูก ๆ โดยไม่รู้ตัว วันนี้กระปุกดอทคอมมีเกร็ดความรู้ในการเลี้ยงลูกที่ไม่ทำให้บั่นทอนจิตใจ เด็ก ๆ มาฝากกัน แล้วพ่อแม่ต้องแก้ไขอย่างไร พฤติกรรมพ่อแม่ทำร้ายลูก มีอะไรบ้างไปดูเกร็ดความรู้จากนิตยสาร Mother & Care กันค่ะ ^^

          บางทีเราอาจไม่รู้ตัวหรอกว่าสิ่งที่พูด สิ่งที่ทำ หรือแสดงออกต่อลูกนั้น กลายเป็นพฤติกรรมทำร้ายจิตใจ เมื่อเกิดขึ้นบ่อยครั้งก็ส่งผลต่อบุคลิกภาพของลูกน้อย มาสำรวจกันค่ะ ว่าพฤติกรรมเข้าข่ายยี้มีอะไรบ้าง

1. ไม่ให้ทำ

          พูด ง่าย ๆ ก็คือ คุณคือผู้จัดการบริหารทุกสิ่งอย่าง (แม่ทำเอง) โดยที่ลูกไม่ได้มีส่วนร่วมหรือได้ลงมือทำอะไรเลย ซึ่งการทำแบบนี้เท่ากับเป็นการตัดวงจรการเรียนรู้ของเด็กในมิติต่าง ๆ ทำให้ทักษะในการช่วยเหลือตัวเองลดลง ลูกขาดความมั่นใจในตัวเอง เป็นต้น

2. ไม่มีขอบเขต

          ก็ คือตามใจลูกทุกอย่าง โดยลืมสิ่งผิดสิ่งถูก อะไรควรไม่ควร ด้วยความคิดที่ว่าลูกยังเด็กผลกระทบคือ เมื่อลูกออกสู่สังคมอยู่ร่วมกับผู้อื่นก็กลายเป็นเด็กปรับตัวยาก เอาแต่ใจตัวเอง ขาดความอดทน มีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นไม่ราบรื่น และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย

3. ไม่ยืดหยุ่น

          เพราะ คุณต้องการให้ทุกอย่างดี ถูก (เป๊ะเว่อร์) ตลอด ยิ่งลูกทำไม่ได้ดังใจ ก็โกรธก็ตำหนิ เพียงเรื่องเล็ก ๆ ก็แปลงสารเป็นเรื่องใหญ่ การทำแบบนี้จะทำให้พัฒนาการที่ควรเป็นไปของลูกแย่ลง เพราะด้วยความรู้สึกผิดหวัง รู้สึกว่า ตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีอะไรดี ไม่มีความสามารถ ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจพ่อแม่

4. ไม่ยอมรับความจริง

          การ ที่คุณมักวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ ตีตนไปก่อนไข้ ย้ำถามย้ำปฏิบัติกับลูก เช่น ไม่ให้ลูกไปไหนมาไหนกับเพื่อน เพราะกลัวลูกจะได้รับอุบัติเหตุ กลัวลูกจะถูกหลอก ไม่ให้ออกนอกบ้าน กลัวลูกจะไม่สบาย นี่แหละคือปัญหาในอนาคตที่ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กวิตกกังวลได้ง่าย หวาดกลัวจนไม่มีความสุขและขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง

5. ไม่ปกป้อง

          เรื่อง ความปลอดภัยนั่นเองค่ะ เพราะหลาย ๆ ครั้ง มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น มีสถิติตัวเลขอุบัติเหตุสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการไม่ทันระมัดระวัง เช่น ลืมปิดประตูบ้าน คุยโทรศัพท์จนเพลิน หรือการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กของพ่อแม่เอง อย่าลืมว่า สิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องสำคัญไม่เป็นรองใคร

6. ไม่ชื่นชม

          มี แต่คำตำหนิติเตียน คำปรามาสต่าง ๆ เพราะไม่เชื่อว่าลูกจะมีความสามารถทำได้ ไม่เชื่อว่าลูกจะทำสำเร็จ พฤติกรรมที่เอ่ยมา เป็นเหมือนอาวุธที่ทำร้ายจิตใจทำลายความคิดดี ๆ ของลูก ทำให้ลูกของคุณขาดความมั่นใจ ความภูมิใจ บอกเลยว่าแค่คิดก็ผิดแล้วค่ะ

7. ไม่เข้าใจลูก

          เพราะ คุณคิดว่า ทำไมลูกทำได้ไม่เก่งเหมือนเด็กคนอื่น ที่จริงแล้วเด็กทุกคนมีตัวตนของตัวเอง มีอุปนิสัย ความสามารถแตกต่างกัน คุณจึงไม่ควรเปรียบเทียบลูก เพราะเป็นการสร้างความรู้สึกต่ำต้อย ด้อยค่าให้เกิดขึ้นกับลูก ผลร้ายที่หนักกว่าคือ อาจทำให้เด็กรู้สึกเจ็บปวด ยอมแพ้ ละความพยายามหรือเกิดความคิดสวนทาง กลั่นแกล้งคู่แข่งของตัวเอง คุณควรชื่นชมในสิ่งที่ลูกเป็น สนับสนุนในสิ่งที่ลูกสนใจหรือชื่นชอบดีกว่าค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Mother & Care, http://baby.kapook.com
เครดิตภาพ  http://astore.amazon.com/buy-best-special-price-baby-clothes-special-20/detail/B00001W0J3

Monday, September 14, 2015

น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม





          น้ำมันมะพร้าว น้ำมันที่ให้ประโยชน์อันน่าทึ่งต่อสุขภาพ นอกเหนือจากการบำรุงความงาม แต่คนส่วนใหญ่กลับมองข้ามไปเสียอย่างนั้น 

          น้ำมันมะพร้าวที่ถูกบอกต่อกันมาว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพมาก­กว่าน้ำมันชนิด อื่น ๆ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่า กินแล้วดีจริงหรือ เพราะถึงจะมีสรรพคุณต่อสุขภาพอันน่าทึ่งหลายประการ แต่ก็ยังเป็นน้ำมันชนิดหนึ่งอยู่ดี หากกินมาก ๆ อาจเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ กระปุกดอทคอมจึงมีคำเฉลยในเรื่องนี้มาให้อ่านกัน ให้รู้ไปเลยว่า­ สรุปแล้ว คำร่ำลือที่บอกว่ากินน้ำมันมะพร้าวแล้วดีต่อสุขภาพน่ะ แท้จริงแล้ว เขากินกันอย่างไร แล้วมีประโยชน์ในด้านไหนบ้าง 

 น้ำมันมะพร้าว คืออะไร 

          น้ำมันมะพร้าวก็คือ น้ำมันที่ได้จากผลมะพร้าวนั่นเอง โดยนำมาสกัดแยกน้ำมันออกจากเนื้อมะพร้าวด้วยวิธีสกัดเย็น ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ใช้ความร้อนสูง และไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมี น้ำมันที่ได้จึงมีลักษณะใสเหมือนน้ำ ไม่มีกลิ่นหืน อาจมีชิ้นเนื้อมะพร้าว และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมะพร้าวปนมาด้วย เพราะเหตุนี้เอง น้ำมันมะพร้าวจึงมีชื่อเรียกหลายชื่อ ทั้งน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ (Extra Virgin Coconut Oil) น้ำมันมะพร้าวบีบเย็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น 

          น้ำมันมะพร้าวเป็นของเหลวก็จริง แต่ก็สามารถกลายสถานะเป็นของแข็งได้ โดยน้ำมันมะพร้าวจะมีสถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส และกลายสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส แต่เราสามารถทำให้มันเป็นของเหลวได้อย่างง่ายโดยใช้ความร้อนเพียงเ­ล็กน้อย 

          ในน้ำมันมะพร้าวนั้นประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว (มากกว่า 90% จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด) แต่กรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ที่พบในน้ำมันมะพร้าว เป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลปานกลาง (medium chain fatty acid) 

 สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวที่มีต่อสุขภาพ 

          มาดูกันว่าในน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นนั้นแฝงไว้ด้วยประโยชน์สุขภา­พในเรื่องใดบ้าง 

 1. กินแล้วไม่อ้วน 

          น้ำมัน มะพร้าวให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่น นั่นคือ 8.6 กิโลแคลอรีต่อกรัม ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นให้พลังงานถึง 9 กิโลแคลอรีต่อกรัม มีกรดไขมันอิ่มตัวที่ไม่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระและไขมันทรานส์ น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึมนานถึง 24 ชั่วโมง ทำให้อาหารหรือปริมาณแคลอรีถูกนำไปเผาผลาญมากขึ้น ไม่เหลือเป็นแคลอรีส่วนเกิน ที่จะถูกสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน 

 2. กระตุ้นการขับถ่าย 

          น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลำไส้ใหญ่ จึงช่วยกระตุ้นการขับถ่าย สำหรับคนที่กินน้ำมันมะพร้าวในระยะแรกอาจมีอาการท้องเสีย ถือว่าเป็นอาการปกติ แต่ถ้าหากกินไปสักระยะแล้วยังมีอาการท้องเสียอยู่ ควรหยุดทาน เพราะน้ำมันมะพร้าวอาจไม่เหมาะกับธาตุในร่างกาย 

 3. บำรุงกำลัง 

          น้ำมันมะพร้าวนั้นกินแล้วย่อยง่าย ร่างกายดูดซึมไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญได้ทันที อีกทั้งกินแล้วอิ่มนาน จึงทำให้ร่างกายมีกำลังเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงถูกนำไปบำรุงกำลังแก่นักกีฬาทั้งแบบชงดื่ม และแบบแท่ง รวมถึงเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุด้วย 

 4. ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อม 

          น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อมต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคตับ และโรคไต 

 5. บำรุงกระดูก 

          สารอาหารในน้ำมันมะพร้าวนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อความ­แข็งแรง ของกระดูก ได้แก่ แคลเซียม และแมกนีเซียม จึงช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก ไม่ให้เปราะ แตกหักง่าย 

 6. บำรุงครรภ์ 

          น้ำมันมะพร้าวถือว่าเป็นอาหารที่ดีต่อคุณแม่และทารกน้อยในครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากคุณแม่รับประทานน้ำมันมะพร้าวในช่วงตั้­งครรภ์ ก็จะช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันที่ดี และเป็นการเพิ่มคุณค่าของน้ำนมแม่อีกด้วย เพราะในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้ในน้ำนมแม่ นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม ที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง รวมทั้งป้องกันภาวะกระดูกพรุน หรือการสูญเสียแคลเซียมของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์อีกด้วย 

 7. ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น 

          ในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก กรดคาปริก และกรดคาปริลิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลาย การรับประทานน้ำมันมะพร้าวติดต่อกันทุกวันในปริมาณเพียงเล็กน้อ­ยจะช่วยให้ คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น และยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ลดความเครียด และอาการอ่อนเพลียได้ด้วย 

 8. ลดการอักเสบและติดเชื้อ 

          น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อได้ เพราะกรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะถูกเปลี่ยนเป็น สารมอโนลอริน (monolaurin) มีคุณสมบัติสร้างภูมิคุ้มกัน และมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย ถือเป็นเป็นทั้งยาปฏิชีวนะธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจ­ากการติด เชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่เริม คางทูม เจ็บคอ 

 9. บำรุงสุขภาพในช่องปาก 

          น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก อันเป็นสาเหตุให้เกิดคราบพลัคที่จะนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ภายในช่องปาก เช่น เหงือกอักเสบ เหงือกช้ำ บวม แดง หรือเลือดออกตามไรฟัน รวมถึงอาการติดเชื้อบริเวณลำคอด้วย วิธีใช้คือนำน้ำมันมะพร้าวมาอมบ้วนปากครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 1 ครั้ง 

 10. ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง 

          น้ำมัน มะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึงร้อยละ 92 ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และยังมีวิตามินไบโอที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งผิวหนัง 

 น้ำมันมะพร้าว มีข้อเสียไหม 

          ตามกลไกของร่างกายแล้ว การกินน้ำมันวันละประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะนั้น ถือเป็นปริมาณที่ร่างกายสามารถกำจัดออกได้หมด คำแนะนำส่วนใหญ่จึงถือว่าการกินน้ำมันมะพร้าววันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ เป็นปริมาณที่เหมาะสม 

          อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยว่ารับพลังงานไขมันจากแหล่งอื่นมากน้อยแค่ไหน โดยคำแนะนำคือปริมาณบริโภคเมื่อรวมกับน้ำมันและไขมันในอาหารชนิดอื่น ๆ แล้ว ไม่เกินวันละ 3-4 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 60 กรัม ดังนั้น หากเป็นคนที่ได้รับน้ำมันและไขมันจากอาหารชนิดต่าง ๆ แล้ว 2 ช้อนโต๊ะ ก็สามารถบริโภคน้ำมันมะพร้าวได้อีก 2 ช้อนโต๊ะ หรือถ้าเป็นคนที่ทานมังสวิรัติ ไม่รับประทานนม ไข่ ชีส หรือน้ำมันอื่น ๆ ก็อาจทานน้ำมันมะพร้าวมากขึ้น 

          ดังนั้น ทางที่ดีควรพิจารณาจากความเหมาะสมของสุขภาพตัวเอง เพราะถ้าหากทานเกินกว่าความต้องการของร่างกาย ร่างกายกำจัดออกไม่หมด ก็เกิดการสะสมได้ไม่ต่างจากไขมันประเภทอื่น 

 น้ำมันมะพร้าว ลดน้ำหนัก ได้ไหม 

          หากสาว ๆ คนไหนกำลังมองหาวิธีลดน้ำหนักที่แสนง่าย กว่าการไดเอต เราขอให้ลองดูคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวกันก่อน ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แค่กินน้ำมันมะพร้าววันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ก็ช่วยให้น้ำหนักลงได้แล้ว เห็นได้คุณสมบัติเด่นเรื่องการลดความอ้วนทั้ง 4 ข้อต่อไปนี้ 

          มีไขมันแคลอรีต่ำกว่าน้ำมันชนิดอื่น คือ 8.6 กิโลแคลอรี ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นมีไขมันแคลอรีถึง 9 กิโลแคลอรี/กรัม 
          กินแล้วทำให้อิ่มนานขึ้น ทำให้ไม่รู้สึกอยากกินจุบจิบ 
          กระตุ้นการขับถ่าย ทำให้ท้องไม่ผูก 
          เพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย 

คัดบทความบางส่วนจาก  http://health.kapook.com/view113540.html
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก 
Health.com 
เครดิตภาพ   https://www.pinterest.com/pin/186055028330730334/