Wednesday, July 9, 2014

12 เรื่องสงสัย แม่ท้องทำได้ไหม




          ครั้งนี้ผมได้รวบรวมเรื่องสงสัยยอดฮิตของคุณแม่ท้องที่มักจะมาสอบถามอยู่ บ่อย ๆ จะได้คลายกังวล ดูแลตัวเองและลูกในท้องได้อย่างถูกต้องเหมาะสมครับ

1. การเดินช้อปปิ้ง

          ผู้หญิงกับการเดินห้างเพื่อความเพลิดเพลิน หรือเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เป็นของคู่กันครับ คุณแม่ที่ตั้งครรภ์สามารถเดินห้างได้ครับ แต่ข้อควรระวังก็คือ อย่าเดินนาน ต้องมีเวลานั่งพักเป็นระยะ ๆ เพื่อจะได้ไม่ปวดหลังมากและขาจะได้ไม่บวม คุณแม่บางคนพอได้เดินห้างแล้วล่ะก็ลืมโลกลืมชีวิตเลย สามารถยืนหรือเดินได้ตั้งแต่ตอนพระอาทิตย์เริ่มขึ้น จนพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็ยังทนได้เลย เพลา ๆ บ้างก็ดีนะครับจะได้ไม่ปวดหลังและขาจะได้ไม่บวม

          ที่อยากจะฝากไว้อีกอย่างก็คือ เวลาไปซื้อของ ควรจะหาคนที่ช่วยหิ้วของไปด้วย ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องยกของที่หนักมาก จนทำให้ต้องเกร็งแขนขาและตัว บางรายหิ้วจนมดลูกหดรัดตัวเพราะเกร็งมาก บางรายที่เคยคลอดก่อนกำหนดก็พาลจะคลอดก่อนกำหนดซ้ำก็มี

2. ยิงเลเซอร์รักษาผิว

          การใช้แสงเลเซอร์เพื่อการรักษาโรคทางผิวหนังชนิดต่าง ๆ ไม่มีอันตรายอะไรต่อทั้งตัวคุณแม่และทารกในครรภ์ครับ เพราะปริมาณและความรุนแรงของแสงเลเซอร์ที่ใช้ต่ำมาก

          อย่าง ไรก็ตามถ้ารู้ตัวว่าตั้งครรภ์แล้ว ไม่แนะนำให้รักษาอะไรเกี่ยวกับผิวหนังที่ไม่จำเป็นและรีบด่วน เนื่องจากผิวหนังของคนท้องจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น อาจจะมีการแตกมีสีเข้มขึ้น หรือมีสิวขึ้นได้มากกว่าปกติ การรีบให้การดูแลรักษาโรคทางผิวหนังบางชนิดนอกจากจะไม่ช่วยให้โรคดีขึ้นหรือ หายแล้ว ยังอาจกระตุ้นให้มีริ้วรอยที่ผิวหนังมากขึ้นด้วย

3. การออกกำลังกาย-อบซาวน่า

          ถ้าคุณไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ก็สามารถออกกำลังกายในขณะตั้งครรภ์ได้ แต่ควรเริ่มช้า ๆ และออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงนัก เช่น การว่ายน้ำ หรือการเดินเร็ว ๆ การเดินเร็ว ๆ ครั้งละประมาณ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้งจะทำให้ร่างกายของคุณแม่มีความฟิตได้ในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์

          การออกกำลังกายอื่น ๆ เช่น การว่ายน้ำ การนั่งเหยียดแข้งขา การบิดตัว ก่อนจะเริ่มทำจริง ควรเริ่มอย่างช้า ๆ ก่อนประมาณ 4-5 นาที เพื่อเป็นการเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย (Warm-up) หลังจากนั้นจึงออกกำลังกายจริงโดยทำครั้งจะประมาณ 15 นาที และหยุดพักประมาณ 5 นาทีสลับกันไป แต่ในกรณีที่คุณแม่มีโรคประจำตัวบางอย่างต้องปรึกษาคุณหมอก่อนการออกกำลัง กายนะครับ

          สำหรับ ประเด็นการอบซาวน่าภายหลังการออกกำลังกายก็สามารถทำได้ครับ แต่ข้อที่ควรระวังก็คือ การอบซาวน่าอาจทำให้ร่างกายของคุณแม่เสี่ยงที่จะได้รับความร้อนที่สูงมาก เกินไปจนเป็นลมได้

          การอบ ซาวน่านั้นแนะนำว่าควรจะอบด้วยเวลาไม่นานเกินกว่า 5 นาที และในห้องที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 82 องศาเซลเซียส แต่ในระหว่างที่กำลังอบอยู่ ถ้าคุณแม่รู้สึกไม่สบายหรือจะเป็นลมต้องรีบออกจากซาวน่าทันทีครับ นอกจากนี้ก่อนที่จะอบซาวน่าคุณแม่ควรที่จะดื่มน้ำให้เพียงพอนะครับ เพราะความร้อนจากซาวน่า อาจทำให้คุณแม่มีอาการขาดน้ำจนช็อกและหมดสติได้

 
4. ถอนฟัน

          มีความเชื่อกันว่า เวลาตั้งท้องห้ามทำฟัน บางคนฟันผุจนจะหมดปากแล้วยังไม่ยอมไปทำฟันเลยก็มี ทนปวด ทนทรมานอยู่นั่นแหละ ความจริงการทำฟันขณะตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ทำได้ครับ เพียงแต่ต้องให้ความระมัดระวังมากสักหน่อย

          ในคุณแม่ที่จำเป็นต้องถอนฟันอาจจะทำให้มีเลือดออกได้มากกว่าคนที่ไม่ตั้งครรภ์ บ้าง หมอฟันจึงมักจะหลีกเลี่ยงที่การถอนฟันของคุณแม่ขณะตั้งครรภ์ แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ทำได้ครับ ในคุณแม่บางรายที่มีปัญหาต้องกรอฟันเป็นเวลานาน ๆ อาจจะทำให้เกิดอาการเกร็ง ถ้าเคยมีประวัติหรือมีความเสี่ยงจะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด อาจจะทำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้ อย่างไรก็ตามคุณแม่ควรปรึกษาหมอฟันอีกทีนะครับจะได้รายละเอียดมากขึ้น

5. ขับรถ ขึ้นเครื่องบิน

          คุณแม่ที่จะขับรถเองเวลาไปทำงานประจำวัน ขอเรียนว่าเมื่อตั้งครรภ์ก็ยังคงขับได้ครับ ไม่ห้าม แต่ต้องใส่เซฟตี้เบลด์ (Safety Belt) ให้ดีก็แล้วกัน แต่อยากเตือนไว้นิดหนึ่งว่า ตอนที่ตั้งครรภ์ใหม่ ๆ คุณแม่จะง่วงง่าย แพ้ท้อง อ่อนระโหยโรยแรง ดังนั้นเวลาขับรถมีโอกาสที่จะเหม่อลอยและขับรถไปชนกับรถคันอื่นได้ 

          ช่วงเวลานี้คุณแม่จึงควรที่จะงดการขับรถไว้ก่อนอีกช่วงเวลาหนึ่งคือตอนที่ใกล้จะคลอด ท้องของคุณแม่จะใหญ่มากจนไปค้ำพวงมาลัย ทำให้ขับรถยาก อึดอัด ถ้าเบรกกะทันหันท้องอาจจะกระแทกพวงมาลัยจนทำให้รกลอกตัวก่อนกำหนดได้ ซึ่งจะทำให้ลูกเป็นอันตราย ส่วนการขับรถในช่วงเวลาอื่นไม่น่ามีปัญหาครับ

          สำหรับการเดินทางโดยเครื่องบิน ถ้าเป็นช่วงที่ตั้งครรภ์ใหม่ ๆ ท้องยังไม่โตสายการบินส่วนมากก็มักจะไม่ค่อยมาถามคุณแม่หรอกครับว่าตั้ง ครรภ์หรือเปล่า แต่เมื่อท้องแก่จนพุงโย้แล้ว สายการบินส่วนมากมักจะไม่ยินยอมให้คุณแม่ขึ้นเครื่องบินของเขาหรอกครับ เพราะเขากลัวว่าคุณแม่จะไปคลอดบนเครื่องบิน เขาไม่มีคนทำคลอดให้ครับ

 
6. เสริมสวย

          ขณะตั้งครรภ์ถ้าคุณแม่ยังอยากจะสวยอยู่อีก ก็ไม่มีข้อห้ามอะไรหรอกครับ อยากจะย้อมหรือไฮไลท์สีผมก็เชิญตามสบาย ไม่ต้องกลัวเป็นอันตรายต่อลูก ส่วนการทาเล็บนั้นผมอยากได้ข้อคิดว่าเวลาตั้งครรภ์คุณแม่อาจจะขีดได้ ซึ่งคุณหมอจะรู้ได้ด้วยการดูดีเลือดใต้เล็บ ดังนั้นถ้าคุณแม่เลิกทาเล็บตอนท้องได้ก็จะดี

          คุณแม่บางคนชอบใส่แหวน ขอเรียนว่าตอนท้องนิ้วคุณแม่อาจจะบวมได้และนิ้วมือก็เป็นอวัยวะที่บวมได้ บ่อย ๆ ยิ่งใกล้คลอดจะยิ่งบวมมาก บางรายบวมมากจนแหวนรัดนิ้วจนเน่าเลยก็มี ข้อน่าคิดอีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าคุณแม่ต้องคลอดโดยการผ่าตัด ตอนผ่าตัดเวลามีเลือดออกคุณหมอจะต้องใช้ไฟฟ้าจี้ให้เลือดหยุด ถ้าคุณแม่ยังใส่แหวนอยู่ อาจทำให้ไฟช็อตเหมือนปลาถูกปิ้งได้นะครับ

          เดี๋ยวนี้มีแฟชั่นใหม่มากขึ้นไปอีก เช่น คุณแม่บางคนโดยเฉพาะที่ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ชอบสักลายต่าง ๆ ตามตัว หรือชอบใส่ตุ้มสะดือแทนที่จะใส่ที่ใบหู สิ่งที่อยากจะเตือนก็คือ ถึงแม้จะไม่ท้องก็มีโอกาสที่จะมีการติดเชื้อโรคได้ง่าย ยิ่งถ้าไปทำตอนท้องจะยิ่งมีโอกาสติดเชื้อได้มากขึ้นไปอีก ก็อยากจะเตือนไว้ครับ

7. นอนตะแคง

          เมื่อพูดถึงการนอน คนเราแต่ละคนมีท่านอนที่ถนัดไม่เหมือนกัน บางคนชอบนอนคว่ำ บางคนชอบนอนหงายในขณะที่บางคนชอบนอนตะแคง

          เมื่อมีการตั้งครรภ์ใหม่ ๆ มดลูกยังมีขนาดเล็กและยังโตไม่พ้นอุ้งเชิงกรานขึ้นมาให้คลำได้ ในระยะนี้คุณแม่ถนัดจะนอนท่าไหน ก็เชิญได้ตามใจครับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นจนมดลูกโผล่พ้นอุ้งเชิงกรานขึ้นมาให้คลำได้ชัดเจน ต่อให้คุณแม่จะชอบนอนคว่ำแค่ไหน ตัวคุณแม่เองก็จะรู้สึกเองว่านอนคว่ำไม่ได้แล้ว เพราะพุงจะค้ำจนนอนไม่ได้ ขืนนอนลงไปมีหวังหายใจไม่ออกตาย คุณแม่จึงควรจะเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงแทน

          เมื่ออายุครรภ์แก่มาก ๆ จนใกล้คลอดแล้ว การนอนตะแคงเป็นท่าที่ดีที่สุดเพราะมดลูกที่มีขนาดใหญ่มากจะได้ไม่ไปกดหลอด เลือดใหญ่ที่อยู่บริเวณด้านหลังของช่องท้อง ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี เลือดไปเลี้ยงทารกในครรภ์ได้ดี เลือดดำที่อยู่บริเวณช่วงล่างบริเวณขาและเท้าก็จะไหลกลับไปยังหัวใจเพื่อส่ง ต่อไปฟอกที่ปอดอีกต่อหนึ่งได้ดี ทำให้เท้าไม่บวม

          คุณแม่บางคนบอกว่าถนัดแต่นอนหงาย กรณีเช่นนี้แนะนำว่าถ้าท้องแก่มากแล้ว การนอนหงายแบบที่เคยนอนคงจะไม่ไหว เพราะมดลูกจะใหญ่มากแล้วและจะดันกล้ามเนื้อกะบังลม (ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่แบ่งช่องท้องออกจากช่องอก) ไม่ให้เคลื่อนต่ำลงมาได้ ทำให้คุณแม่อึดอัด ทรมาน หายใจไม่ออก แนะนำว่าถ้ายังอยากจะนอนหงาย ให้ใช้หมอนขนาดใหญ่ ๆ หนุนให้ศีรษะคุณแม่สูงมาก ๆ ซึ่งจะทำให้คุณแม่อยู่ในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน อย่างนี้ก็จะทำให้นอนหงายได้โดยไม่ทรมานมากนักครับ

8. ดื่มน้ำมะพร้าว

          คำถามการดื่มน้ำมะพร้าวช่วยล้างไขทำให้ลูกผิวเกลี้ยงจริงหรือไม่ เป็นคำถามยอดฮิตของคุณแม่ตั้งครรภ์ ชาวไทยเลยก็ว่าได้ ผมมีโอกาสไปบรรยายให้คุณแม่ฟังในหลายแห่งทั่วประเทศไทย พบว่าทุกครั้งที่บรรยายจะได้รับคำถามนี้เสมอ

          ผมขอตอบแบบฟันธงตรงนี้เลยนะครับว่า ความเข้าใจนี้ผิดครับ ก่อนจะอธิบายเหตุผลต่อไปผมอยากจะเล่าให้คุณแม่ทราบข้อมูลที่สำคัญสัก 2 ประเด็นก่อนครับ คือประเด็นเรื่องไข กับประเด็นเรื่องน้ำมะพร้าว ไขที่ติดตามตัวทารก เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากเซลล์ผิวหนังของทารกและต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ยิ่งอายุครรภ์มากขึ้นไขก็จะสร้างมากขึ้นตามไปด้วย การมีไขของทารกในครรภ์ก็เปรียบเหมือนการมีขี้ไคลของคนเราที่พอกสะสมโดยไม่ เคยขัดออก การที่ทารกในครรภ์มีไขเยอะ ๆ มีประโยชน์ครับ เพราะจะทำให้ทารกคลอดง่าย

          เนื่องจากไขที่ผิวหนังทารกจะทำหน้าที่เป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นตัวทารกขณะผ่านช่อง คลอดออกมา การมีไขเยอะ ๆ ยังบ่งบอกด้วยว่าทารกน่าจะมีอายุครรภ์ครบกำหนดหรือใกล้ครบกำหนดแล้ว เพราะกว่าทารกจะมีไขได้จะต้องเป็นทารกที่ใกล้ครบกำหนดคลอดเสียเป็นส่วนมาก ส่วนทารกที่ไม่ครบกำหนดตัวจะแดง ๆ ไม่มีไขคลุมที่ผิวหนัง เวลาคลอดหมอสูติจะเป็นสุขมากที่เห็นไขทารกเพราะแสดงว่าทารกที่ออกมาน่าจะครบ กำหนด

          นอกจากนี้หลังคลอดใหม่ ๆ ไขที่คลุมตัวทารกจะช่วยคุณอุณหภูมิของทารกไม่ให้ต่ำเกินไปได้ด้วย หมอจึงมักปล่อยทารกโดยให้มีไขติดอยู่อีกระยะหนึ่งก่อนที่จะล้างทิ้งในภาย หลัง เมื่อแน่ใจว่าทารกคุมอุณหภูมิตัวเองได้แล้ว การรีบล้างไขออกโดยเร็ว อาจทำให้ทารกตัวเย็นผิดปกติและเป็นอันตรายได้ ดังนั้นผมอยากให้คิดใหม่ก็คือน่าจะให้มีไขเยอะ ๆ แทนที่จะป้องกันไม่ให้มีเลย ตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์

          สำหรับน้ำมะพร้าวที่ดื่มเข้าไป ผมอยากจะเตือนว่า น้ำมะพร้าวที่เห็นใสแจ๋วนั่นหนะความจริงมีน้ำตาลและกรดไขมันอิ่มตัวเพียบเลย กินเข้าไปมาก ๆ จะทำให้ทารกตัวโตแต่ไม่แข็งแรงและแม่ก็เสี่ยงต่อการเกิดไขมันอุดหลอดเลือด ได้สูงขึ้น และที่สำคัญมันไม่ได้ช่วยในการล้างไขอย่างที่คิดแต่อย่างใดเลย ผมทำคลอดให้คุณแม่มานับพันแล้ว หลายรายแอบดื่มน้ำมะพร้าว แล้วมาสารภาพกับผมทีหลังเพราะกลัวถูกผมว่า เวลาคลอดออกมาลูกก็ยังมีไขเพียบเหมือนกับคนที่ไม่ดื่มน้ำมะพร้าวเลย

          มา เข้าใจเรื่องไขทารกกันใหม่เถอะครับ และถ้าจะให้ดีเลิกเชื่อเรื่องน้ำมะพร้าวล้างไขด้วยก็จะดีครับ ความเชื่อเช่นนี้ไสยศาสตร์ล้วน ๆ โดยไม่มีวิทยาศาสตร์เลยครับ

9. เซ็กส์ตอนท้อง

          ขณะตั้งครรภ์คุณแม่มีเซ็กส์ได้ตามปกติครับ และมีได้ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ไปจนกระทั่งใกล้คลอดเลย จะมีแค่บางช่วงที่ควรลดการมีเซ็กส์ลงบ้าง เช่น ตอนตั้งครรภ์ใหม่ ๆ เพราะคุณแม่ส่วนมากมักมีอาการแพ้ท้อง เวียนศีรษะ อ่อนเพลียง่าย

          มีคุณแม่บางคนเท่านั้นที่หมออยากแนะนำให้งดเว้นการมีเซ็กส์ขณะตั้งครรภ์ เช่น คุณแม่ที่เคยแท้งบุตรหรือเคยคลอดก่อนกำหนดมาก่อน เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาซ้ำได้ คุณแม่ที่มีรกเกาะต่ำก็ควรขอร้องให้สามีงดการมีเซ็กส์เพราะอาจไปกระตุ้นให้ เลือดออกได้ เดี๋ยวจะโดนข้อหาแทงเมียจนเลือดตกยางออกไม่รู้ด้วยนะครับ

          ส่วนที่กังวลว่าเวลามีเซ็กส์ จะเป็นอันตรายต่อลูกไหม อยากให้คุณแม่ลองจินตนาการดูนะครับว่าลูกที่อยู่ในท้องก็คล้ายกับก้อนหินที่อยู่ในลูกโป่งใส่น้ำแล้วยัดใส่เข้าไปในขวดอีกทีหนึ่ง และเจ้าขวดที่ว่าก็มีปากขวดที่ปิดและแข็งแรงพอควร เวลาที่มีเซ็กส์กัน อวัยวะเพศของสามีอย่างมากก็จะไปโดนแค่บริเวณปากขวดเท่านั้น ไม่มีทางไปโดนตัวลูกหรอก บางคนก็เล่าเป็นเรื่องโจ๊กก็มีว่า ถ้ามีเซ็กส์กันบ่อย ๆ ลูกอาจจะออกมาได้ ขอเรียนว่าเพ้อเจ้อ ลูกคุณมีระบบกันกระแทกที่ดีเยี่ยมครับ และโอกาสได้รับอันตรายน้อยมาก ผมว่าถ้ามีเซ็กส์กันบ่อย ๆ น่าจะเหมือนไปทักทายลูกก็ได้นะครับใครจะไปรู้

          ประเด็น ต่อมาหลายคนเข้าใจดีว่าเวลามีเซ็กส์ขณะตั้งครรภ์ ไม่มีอันตรายต่อลูก แต่อีตอนกำลังจะถึงจุดสุดยอดนี่ มักจะมีการเกร็งกล้ามเนื้อ และมดลูกอาจจะหดตัวได้ กลัวว่าลูกจะได้รับอันตราย ข้อมูลทางการแพทย์ที่มีพบว่าไม่จริงครับ

          สำหรับเรื่องที่ว่า การมีเซ็กส์จะกระตุ้นให้เจ็บครรภ์คลอดมีหลักฐานทางการแพทย์ว่า การที่อวัยวะเพศของผู้ชายไปกระแทกกับปากมดลูก รวมทั้งน้ำอสุจิที่มีการหลั่งขณะมีเซ็กส์สามารถกระตุ้นให้ปากมดลูกสร้างสาร เคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า โพรสตาแกลนดินส์ (Prostaglandins) เจ้าสารที่ว่านี้สามารถทำให้ปากมดลูกนุ่มขึ้น และกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวได้ อย่างไรก็ตามสารที่สร้างขึ้นมานี้ก็ไม่ได้มากพอจนทำให้คุณแม่เจ็บครรภ์คลอด หรอกครับ ยกเว้นแต่คนที่ใกล้จะคลอดอยู่แล้วถึงอาจจะเจ็บครรภ์คลอดได้

          อีกประเด็นที่ผมคิดว่าน่าจะอยู่ในความสนใจและมีประโยชน์ จึงอยากจะพูดถึงก็คือเรื่องท่าครับ ในช่วงท้องอ่อน ๆ จะมีเซ็กส์กันท่าไหน ชอบแบบไหนก็เชิญตามสบายครับ แต่เมื่อท้องแก่ขึ้น ก็ขอให้เลือกท่าที่เสี่ยงอันตรายน้อยก็แล้วกัน ท่าที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งก็คือท่าที่สามีต้องนอนกดทับหน้าท้องคุณแม่ เพราะเดี๋ยวจะหายใจไม่ออกขาดใจตายตอนมีเซ็กส์ อายเขาตายเลย ท่าที่น่าจะดีกว่าคือท่าที่คุณแม่อยู่ข้างบน หรือจะเข้าทางข้างหลัง ท่าโก้งโค้งอะไรก็ตามใจ แต่อย่าให้กระทบกระเทือนที่หน้าท้องเป็นใช้ได้ครับ

10. กินยาขับน้ำคาวปลา

          นอกจากสารพัดความเชื่อเกี่ยวกับการคลอดที่มีกันอยู่แล้ว ในบ้านเรายังมีความเชื่อผิด ๆ อีกอย่างก็คือ การแนะนำให้คุณแม่หลังคลอดกินยาดองหรือยาขับน้ำคาวปลาหลังคลอด เพราะมีความเชื่อว่าน้ำคาวปลาคือของเสียที่ต้องขับออกมาให้มาก ๆ ทำให้มีสตรีหลังคลอดเป็นจำนวนมาก ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะตกเลือดจากการกินยาขับน้ำคาวปลานี่แหละ บางรายถึงกับช็อกหมดสติ ต้องให้เลือดช่วยชีวิตกันแทบไม่ทัน

          ความจริงน้ำคาวปลาก็คือเลือดดี ๆ ที่ไหลซึมจากแผลในโพรงมดลูกตรงตำแหน่งที่รกลอกตัวออกไป ซึ่งร่างกายต้องพยายาม ทำให้หยุดโดยเร็วก่อนที่เลือดจะหมดตัวซะก่อน โดยการให้มดลูกหดรัดตัวบีบเส้นเลือดในมดลูกให้เลือดไหลน้อยลงจนหยุดไปเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพยายามขับน้ำคาวปลาให้ออกมาเยอะ ๆ

          เพราะนอกจากจะเสียเลือดเพิ่มโดยไม่จำเป็นแล้ว บรรดายาขับน้ำคาวปลาหรือยาดองทั้งหลายมักมีแอลกอฮอล์ผสม ซึ่งจะผ่านออกมาในน้ำนมได้ ทำให้ลูกดูดนมที่มีแอลกอฮอล์ปนออกมาด้วย ก็เลยเมาหลับปุ๋ยตั้งแต่แรกเกิด บางคนอาจจะชอบเพราะเลี้ยงง่ายดีไม่งอแง แต่สมองที่หลับใหลไม่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิด จะทำให้ลูกลดความเฉลียวฉลาดลงไปเยอะทีเดียว และแอลกอฮอล์อาจทำให้ตับของลูกทำงานผิดปกติ สร้างสารแข็งตัวของเลือดได้น้อยลง จนอาจมีเลือดออกตามส่วนต่าง ๆ ของลูกจนทำให้เสียชีวิตได้

          ในคุณแม่ที่คลอดโดยการผ่าตัดคลอด คุณหมอผู้ผ่าตัด จะให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกขณะผ่าตัดเพื่อให้มดลูกหดรัดตัวได้เร็ว ขึ้นและแรงขึ้นด้วย รวมทั้งจะเช็ดทำความสะอาดภายในโพรงมดลูกให้ด้วย ผลดังกล่าวจะทำให้คุณแม่ที่ผ่าตัดคลอด มีน้ำคาวปลาออกมาน้อยกว่าคนที่คลอดทางช่องคลอดได้ครับ

11. ดื่มกาแฟ

          จากความเชื่อที่มีกันเป็นเวลานานโดยไม่มีข้อมูลหลักฐานทางการแพทย์รองรับเลย เกี่ยวกับการดื่มกาแฟก็คือในกาแฟมีสารคาเฟอีนซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ การดื่มกาแฟเป็นประจำจึงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ยิ่งในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ก็ยิ่งควรงดการดื่มกาแฟไปเลยก็จะยิ่งดี เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ได้

          ความเชื่อดังกล่าวได้รับการพิสูจน์จากการวิจัยทางการแพทย์หลายการวิจัยแล้วว่า สตรีตั้งครรภ์ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ ถ้าดื่มในปริมาณที่ไม่มากเกินไป เช่นน้อยกว่า 5 ถ้วยต่อวัน ไม่ได้มีผลทำให้ทารกพิการ คลอดก่อนกำหนด หรือคลอดลูกออกมาตัวเล็กแต่อย่างใด มีเพียงบางการศึกษาที่พบว่าถ้าคุณแม่ดื่มกาแฟในปริมาณที่มากในแต่ละวัน เช่น มากกว่า 5 ถ้วยและดื่มต่อเนื่องกันตลอดการตั้งครรภ์ อาจจะเสี่ยงทำให้แท้งบุตรได้บ้าง

          จากข้อมูลข้างต้นพอสรุปได้ว่า การดื่มกาแฟขณะตั้งครรภ์ไม่มีอันตรายครับ คุณแม่สามารถดื่มได้แต่อย่าดื่มในปริมาณที่มากเกินไป

          มีข้อแนะนำของสมาคมโภชนาการแห่งสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการดื่มกาแฟว่า ในขณะตั้งครรภ์ถ้าคุณแม่จะดื่มกาแฟกี่ดื่มได้ แต่ควรจะดื่มในปริมาณที่น้อยกว่า 300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 3 ถ้วย (ขนาด 5 ออนซ์) ต่อวัน

12. ผ่าตัดคลอดตามฤกษ์

          เนื่องจากการผ่าตัดคลอดในปัจจุบันเป็นเรื่องที่ทำให้ค่อนข้างง่าย สะดวก และรวดเร็ว รวมทั้งยังกำหนดเวลาคลอดได้ด้วย ผลดังกล่าวจึงทำให้คุณพ่อคุณแม่จำนวนไม่น้อยไปหาพระหรือโหร หรือหมอดู เพื่อกำหนดวันและเวลาคลอดของลูกโดยการผ่าตัดออกมาแทนที่จะให้คลอดเองตาม ธรรมชาติ การกำหนดฤกษ์ยามในการคลอดก็ด้วยความเชื่อที่ว่า จะทำให้ลูกที่คลอดออกมาเป็นคนเก่ง คนดี คนมีอำนาจวาสนาในอนาคต

          สำหรับตัวผมเอง ไม่สนับสนุน ความคิดนี้ครับ เพราะการผ่าตัดคลอดยังไงก็ยังมีอันตรายว่าการคลอดธรรมชาติอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการเสียเลือดจากการผ่าตัด การติดเชื้ออันตรายจากการดมยาสลบ และอื่น ๆ อีกหลายประการ

          มีฤกษ์ยามที่จะให้ผ่าคลอดจำนวนไม่น้อยที่เมื่อมาคิดคำนวณแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ยังตั้งครรภ์ไม่ครบกำหนดเลย ถ้าผ่าตัดคลอดออกมา ลูกของคุณอาจจะเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนดซึ่งมีปัญหามากมายหลายประการ เช่น หายใจลำบาก ตัวเหลือง ติดเชื้อในกระแสเลือด บางรายลูกเสียชีวิตหลังคลอดไม่นานเลยก็มี

          จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่ดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์มาไม่น้อย เป็นที่น่าสนใจว่าส่วนใหญ่ "ฤกษ์ดี" ที่บรรดาโหราจารย์ทั้งหลายดูมาให้ก็มักจะเป็นเวลาที่วิปริตผิดธรรมชาติทั้ง สิ้น ยิ่งเป็นเวลาพิสดารเท่าไรก็ยิ่งถือว่าโก้หรูเท่านั้น เช่น เวลาเช้ามืดที่คนทั่วไปยังไม่ตื่นนอน หรือเวลาดึกสงัดที่คนปกติควรจะนอนหลับพักผ่อนกันไปหมดแล้ว ซึ่งถ้าได้วันหยุดหรือวันสำคัญก็ยิ่งขลังใหญ่ คุณแม่เหล่านี้ไม่มีวันรู้หรอกว่าเบื้องหลังฤกษ์เหล่านี้ มีคนบ่นให้มากน้อยแค่ไหน ตัวอย่าง คนที่ดูฤกษ์ผ่าคลอดตอนตี 3 ปรากฏว่าตั้งแต่คนงานถูพื้น พยาบาล หมอดมยา หมอเด็ก แม้แต่หมอสูติบ่นกันทุกคน แล้วจะเป็นฤกษ์ดีได้ยังไง ขนาดยังไม่ทันคลอดก็มีแต่คนบ่นทั้งนั้น ปรากฏว่าพอผ่าเอาเด็กออกเรียบร้อย มดลูกเกิดไม่ยอมหดรัดตัวตามปกติ ตกเลือด ช็อกเกือบตาย เพราะในเวลาผิดธรรมชาติแบบนั้น จะไประดมคนมาช่วยก็ไม่มีสักคน มีก็แต่หมอที่ผ่าตัดนั่นแหละที่ยืนหน้าซีดผ่าตัดห้ามเลือดอยู่คนเดียว เพราะเจ้าหน้าที่มีน้อย ผลสุดท้ายก็ต้องตัดมดลูกทิ้งไป ต้องนอนห้องไอซียูอีกหลายวัน ให้เลือดไปอีกหลายสิบขวด หมดค่ารักษาไปอีกนับแสนบาท ไม่รู้ว่าพอหายแล้วจะกลับไปต่อว่าคนที่ให้ฤกษ์มาหรือเปล่า ได้ข้อมูลที่ถูกต้องกันไปแล้ว คราวนี้ทำอะไรคุณแม่จะได้สบายใจ ไม่เครียดกันแล้วนะครับ

เรื่อง : รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ หัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
แหล่งที่มา  modernmom, http://baby.kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

No comments:

Post a Comment