Friday, July 25, 2014

10 นิสัยแย่ ๆ ที่ทำให้คุณอ้วนไม่เลิก




         การลดน้ำหนักมีหลากหลายวิธีแล้วแต่ว่าคนจะเลือกใช้ แต่ก็ใช่ว่าทุกวิธีจะเป็นวิธีที่ดีและถูกต้อง เพราะบางวิธีอาจจะเป็นการทำลายสุขภาพแถมยังทำให้อ้วนขึ้นยิ่งกว่าเดิม

          เชื่อว่าหลาย ๆ คนนั้น คงใฝ่ฝันที่จะมีรูปร่างที่สวยงามและผอมเพรียว แต่ว่าไม่ว่าจะใช้วิธีไหนในการลดน้ำหนักก็รู้สึกว่ามันไม่เคยประสบความสำเร็จเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เป็นเพราะว่าเรานั้นยังคงทำพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพและเป็น การเพิ่มน้ำหนักโดยไม่รู้ตัว

          วันนี้ กระปุกดอทคอมได้นำข้อมูลจากเว็บไซต์ skinnymom.com เกี่ยวกับพฤติกรรมแย่ ๆ ที่ทำให้คุณอ้วนมาบอกกัน ซึ่งขอบอกเลยว่า ถ้าอ่านแล้วเลิกทำพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ได้ คุณจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างแน่นอนค่ะ

 

       
1. คำนวณทุกแคลอรี่

          ความคิดที่ว่าการคำนวณแคลอรี่จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้น่ะมันผิดถนัดเลยค่ะ เพราะแคลอรี่เป็นเพียงแค่หน่วยในการวัดพลังงานที่มีอยู่ในอาหารต่อกรัม ไม่ได้มีไว้เพื่อคำนวณปริมาณอาหารที่เราควรทานค่ะ การใช้การคำนวณนอกจากจะไม่ช่วยในการลดน้ำหนักแล้ว อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เราขาดสารอาหารอีกด้วย

       
2. พยายามควบคุมความอยากอาหาร

          หลายคนคิดว่าการความอยากอาหารนั้นเกิดขึ้นภายในจิตใจของเราทั้งที่จริง ๆ แล้ว ความอยากอาหารนั้นเกิดขึ้นจากจากการตอบสนองทางชีวเคมีของสมองต่ออาหาร จริงอยู่ที่เหตุผลทางอารมณ์เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อยากอาหาร แต่เหตุผลใหญ่ที่ทำให้เราอยากอาหารนั้นคือเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีภายในสมอง ที่ควบคุมฮอร์โมน Cholecystokinin (CKK) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความความอยากอาหาร

             ทั้งนี้ ถ้าต้องการหยุดความอยากอาหารไว้ก็ไม่ควรอด แต่ควรที่จะทานโปรตีนและไขมันเข้าไปบ้าง เพราะโปรตีนและไขมันจะเป็นสารอาหารที่ไปหยุดการทำงานของสมองที่ควบคุมความหิว แทนที่จะกินแป้งหรือน้ำตาล เพราะนั่นนอกจะไม่ช่วยความหิวลดลงแล้วยังจะกระตุ้นให้อยากกินอาหารเพิ่มขึ้นอีกซึ่งเป็นสาเหตุทำให้อ้วนไม่เลิก

       
3. งดอาหารไขมันอิ่มตัวสูง

          ไม่น่าเชื่อว่าอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงน่ะ จริง ๆ แล้วเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูงมากซึ่งทำให้เกิดอาการอิ่ม ช่วยรักษาอาการอักเสบ นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงในการการเป็นโรคหัวใจและเบาหวาน แถมช่วยป้องกันมะเร็งอีกด้วย ดังนั้นก็ควรทานบ้าง อย่างเช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันถั่วเหลือง ไม่ใช่เลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงไปซะทุกอย่าง

          ทั้งนี้ ไขมันอิ่มตัวเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อหัวใจ เพราะไขมันที่อยู่บริเวณรอบ ๆ หัวใจนั้นเป็นไขมันอิ่มตัวแทบทั้้งสิ้น และเมื่อเราเกิดอาการเครียด หัวใจก็จะเริ่มใช้ไขมันเหล่านั้นในการทำงาน ขณะที่ไขมันอิ่มตัวปานกลางที่อยู่ในน้ำมันมะพร้าวนั้นก็ใช้ในการทำงานของสมอง

          อีกเรื่องที่ต้องรู้ก็คือ ไขมันอิ่มตัวจะไม่มีเกิดการออกซิไดซ์ หรือที่เรียกว่าการหืน ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระและไม่แปรสภาพโมเลกุลเป็นไขมันทรานส์ อันเป็นสาเหตุของมะเร็ง

       
4. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอล

          จริง ๆ แล้ว อาหารที่มีคอเลสเตอรอลไม่ได้เลวร้าย แถมยังจำเป็นต่อสุขภาพที่ดีอีกด้วย เพราะคอเลสเตอรอลช่วยป้องกันหัวใจ, สมอง, ฮอร์โมนและระบบประสาท, ปรับสมดุลของฮอร์โมน ช่วยจัดระเบียบสมองและระบบประสาท อย่างไรก็ตาม ถ้าร่างกายของคุณไม่สามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เพียงพอต่อวัน การกินอาหารที่มีคอเลสเตอรอลบ้างจึงเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่าหลีกเลี่ยง

          5. กินน้ำตาล หรือของหวานไขมันต่ำมากเกินไป

          น้ำตาลและแป้งเป็นตัวเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและระดับของอินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไขมันสะสม โดยเฉพาะบริเวณช่วงกลางลำตัว แถมอาหารไขมันต่ำจะยิ่งทำให้น้ำตาลและแป้งถูกย่อยโดยรวดเร็วซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกหิวเร็วขึ้นหลังจากที่กินเข้าไปไม่นาน นอกจากนี้ยังมีผลต่อสมอง ทำให้คุณรู้สึกอยากจะกินมากขึ้นถึงแม้ว่าคุณจะไม่หิวก็ตาม

       
6. งดอาหารเช้า

          แม้จะมีการวิจัยและการศึกษาหลายครั้งออกมายืนยันแล้วว่า อาหารเช้าจำเป็นต่อร่างกาย แต่หลายคนก็ยังละเลยกับการกินอาหารเช้า โดยหารู้ไม่ว่า การที่เราไม่กินอาหารเช้า หรือกินโปรตีนและไขมันไม่เพียงพอในมื้อเช้า แต่กลับกินแป้งและน้ำตาลหรืออาหารเช้าที่มีไขมันและโปรตีนต่ำ จะทำให้น้ำตาลในเลือดไหลเวียนอย่างรวดเร็วไปยังทั่วร่างกาย

          แต่การกินอาหารเช้าที่มีไขมันและโปรตีนเพียงพอ จะทำให้ระยะห่างระหว่างมื้อยาวขึ้น โดยที่ไม่รู้สึกหิว เพราะอาหารเช้ามีส่วนทำให้เกิดความเสถียรของน้ำตาลในเลือดและระดับอินซูลีน นอกจากนี้จะยังทำให้คุณกินน้องลงในแต่ละมื้ออีกด้วย

        7. หลีกเลี่ยงการบริโภคเกลือจนเกินไป

          เกลือช่วยควบคุมให้คุณไม่กินมากจนเกินไป นอกจากนี้ยังช่วยจัดระเบียบระดับปริมาณของเลือดและความดันโลหิต, ระบบประสาท, ระบบการเผาผลาญ, การย่อยอาหาร, สมองและการทำงานของต่อมหมวกไต

          มีการวิจัยพบว่า จริง ๆ แล้วเกลือนั้นมีผลกระทบน้อยมากต่อความดันโลหิต และการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าการกินเกลือในปริมาณที่น้อยเกินไปทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สอง และยังเป็นสาเหตุของการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ฉะนั้น จึงควรกินเกลือในปริมาณที่เหมาะสม

          8. ใช้วิธีไดเอตแบบผิด ๆ

          การไดเอตแม้จะมีหลากหลายวิธีแต่ก็ใช่ว่าวิธีเหล่านั้นจะถูกต้องเสมอไป ในบางครั้งสูตรการไดเอตที่เรานำมาใช้อาจจะเป็นการไดเอตที่ผิดและไม่ดีต่อสุขภาพ และเมื่อวิธีเหล่านั้นไม่ถูกต้องก็ไม่แปลกเลยที่การไดเอตเหล่านั้นจะไม่ประสบผลสำเร็จ

       
9. กินธัญพืชมากเกินไป

          หลายคนเชื่อว่าการกินธัญพืชในปริมาณมากเป็นสิ่งดี เพราะในการลดน้ำหนักนั้นจำเป็นต้องใช้ไฟเบอร์จำนวนมาก แต่ความจริงแล้วธัญพืชที่เรากินเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักนั้นกลับให้ปริมาณ ของน้ำตาล แป้งและอินซูลีนมากกว่าไฟเบอร์เสียอีก ซึ่งแทนที่จะทำให้ช่วยลดน้ำหนักได้กลับกลายเป็นการเพิ่มน้ำหนักและไขมัน บริเวณช่วงกลางลำตัว หรือไม่ก็ทำให้เกิดปัญหาในการลดน้ำหนัก

 
       
10. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์

          หลายคำแนะนำให้บอกให้เราเลี่ยงทานเนื้อสัตว์ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าเนื้อสัตว์ไม่มีประโยชน์ หรือการที่เรากินมังสวิรัติก็ไม่ได้แปลว่าอาหารเหล่านั้นจะปลอดภัยเช่นกัน เพราะการกินแต่อาหารที่มีส่วนประกอบของผัก จะทำให้เราไม่ได้รับกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งบางชนิดมีอยู่ใน สัตว์เท่านั้น

 
           นอกจากนี้ ผักก็ยังไม่มีกรดอะมิโนซึ่งมีอยู่ในโปรตีนในระดับที่เพียงพอต่อความต้องการ ของมนุษย์อีกด้วย ดังนั้น หากกลัวว่าเนื้อสัตว์ที่ขายอยู่ทั่วไปจะไม่ปลอดภัย ก็ควรเลือกกินเนื้อสัตว์ที่มีระบบการเลี้ยงในระบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งในปัจจุบันก็มีอยู่ไม่น้อย เพราะอย่างไรก็ตามโปรตีนและไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายก็ต้องมาจากเนื้อสัตว์อยู่ดี


          การจะลดน้ำหนักให้ประสบความสำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนนิสัยและละทิ้งความเชื่อเดิม ๆ ควบคู่กันไปด้วย ถึงแม้ว่าอาหารบางชนิดจะมีสารอาหารที่อาจจะทำให้อ้วนขึ้นกว่าเดิม แต่ถ้าหากเรากินในปริมาณที่พอเหมาะ และสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถลดน้ำหนักได้ตามความตั้งใจ เพราะฉะนั้นควรทานอาหารที่มีสารอาหารครบเพื่อสุขภาพที่ดีนะคะ



No comments:

Post a Comment