Thursday, July 31, 2014

ออกกำลังกาย 7 วิธีง่าย ๆ ที่ทำได้แม้มีพื้นที่จำกัด




         การออกกำลังกายมีหลายคนเชื่อว่าจำเป็นจะต้องทำในพื้นที่กว้าง ๆ เท่านั้นถึงจะออกกำลังกายได้สะดวก แต่จริง ๆ แล้วการออกกำลังกายนั้นไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากมายเลยนะ

          เชื่อว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีความตั้งใจที่จะออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพ แต่จะให้เข้าฟิตเนสหรือคลาสพิลาทิสก็ดูเหมือนค่าใช้จ่ายจะสูงเกินไป แต่จะให้ไปออกกำลังกายนอกบ้านตามสวนสาธารณะต่าง ๆ อากาศก็ไม่ค่อยจะเป็นใจเท่าไร หรือจะออกกำลังในบ้านพื้นที่ก็จำกัดเกินไป ทำให้ในที่สุดความตั้งใจที่มีก็หมดไปเพราะความรู้สึกถึงความไม่สะดวกเหล่า นั้น โดยหารู้ไม่ว่า จริง ๆ แล้วการออกกำลังกายบางชนิดนั้นไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากมายอย่างที่คิด

          วันนี้กระปุกดอทคอมได้นำข้อมูลน่ารู้เกี่ยววิธีการออกกำลังกายในพื้นที่จำกัดจาก all women stalk มาเล่าสู่กันฟัง รับรองว่าข้อมูลเหล่านี้จะทำให้สาว ๆ เปลี่ยนความคิดในการใช้พื้นที่ในการออกกำลังกายอย่างแน่นอนค่ะ ไปดูกันเลยดีกว่า ว่ามีการออกกำลังกายแบบใดบ้างที่สามารถทำได้ในพื้นที่จำกัด

โยคะ

          โยคะเป็นการออกกำลังที่ดีที่สุดสำหรับคนที่มีพื้นที่ในการออกกำลังกายจำกัด ขอแค่มีพื้นที่ในการปูเสื่อโยคะได้ก็เพียงพอแล้ว แถมโยคะเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ซึ่ง การออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะนั้นจำเป็นจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำวิธี การเล่นที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากคุณกลับมาทำเองที่บ้านทุกวันก็จะยิ่งทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีด้วยนะ


เวทเทรนนิ่ง

          การเล่นเวทเทรนนิ่งนั้นใช้พื้นที่น้อยมาก ขอแค่คุณมีพื้นที่พอสำหรับมือและแขนของคุณจะไม่ไปชนกับข้าวของรอบตัวมี พื้นที่พอที่จะไม่ทำให้มือและแขนของคุณไปชนกับข้าวของรอบตัว และคุณไม่จ ำเป็นต้องไปเสียเงินเพื่อหาซื้ออุปกรณ์สำหรับการเล่นเวทเทรนนิ่งเลย คุณสามารถใช้ขวดน้ำหรือกระป๋องซึ่งบรรจุทรายจนเต็ม ก็เป็นอุปกรณ์ยกน้ำหนักสุดประหยัดได้แล้ว 

 
ฝึกบัลเล่ต์

          การฝึกบัลเล่ต์เป็นการออกกำลังกายอีกวิธีหนึ่งที่ใช้พื้นที่น้อย หลายคนอาจจะคิดว่าการฝึกบัลเล่ต์นั้นจำเป็นต้องทำในสตูดิโอบัลเล่ต์เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เลย การฝึกบัลเล่ต์นั้นสามารถทำได้เองที่บ้าน แค่เพียงมีเก้าอี้ที่แข็งแรงพอเพื่อใช้เกาะในการทรงตัว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุเมื่อคุณทรงตัวไม่อยู่ก็พอแล้ว ประโยชน์ดี ๆ ที่คุณจะได้จากการฝึกบัลเล่ต์นอกจากจะทำให้คุณสามารถทรงตัวได้ดีแล้ว ยังช่วยปรับปรุงบุคลิกภาพ และช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณท้องและสะโพกให้แข็งแรงได้ได้อีกด้วย 

 
ซิทอัพ วิดพื้น

          ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์หรือพื้นที่กว้าง ๆ เลยแม้แต่น้อยคุณก็สามารถออกกำลังกายได้ด้วยการซิทอัพ วิดพื้น หรือการยืดกล้ามเนื้ออื่น ๆ ได้แล้วล่ะ การออกกำลังกายด้วยวิธีเหล่านี้คุณสามารถทำได้ทุกวัน และความทำอย่างสม่ำเสมอจึงจะเห็นผลชัดเจน

 
Suspension Straps (ออกกำลังกายด้วยการใช้น้ำหนักตัว)

          การออกกำลังกายประเภทนี้เป็นการออกกำลังกายโดยใช้พื้นที่จำกัดอีกชนิดหนึ่ง โดยการออกกำลังกายแบบนี้ออกแบบมาให้มีพื้นที่ในการออกกำลังกายขนาดเท่าประตู และสามารถออกกำลังกายได้หลากหลายท่า โดยหลักในการออกกำลังกายชนิดนี้คือการใช้น้ำหนักตัวเป็นแรงต้านกับการยืดเชือกซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการใช้กล้ามเนื้อของผู้ฝึก

 
กระโดด

          การกระโดดก็ถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง เพียงคุณมีพื้นที่ในการยืนที่มั่นใจว่าคุณจะไม่ล้มไปชนกับสิ่งของจนเสียหาย นั่นก็เพียงพอกับการออกกำลังกายแบบนี้แล้วค่ะ แต่ถ้ารู้สึกว่าการกระโดดเฉย ๆ มันน่าเบื่อเราก็อาจจะเปลี่ยนมาเป็นการกระโดดเชือกก็สนุกไปอีกแบบนะคะ


ปั่นจักรยาน 

         การปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังกายที่ดีอีกวิธีหนึ่งภายในพื้นที่ที่มีจำกัด แม้ว่าจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ แต่อุปกรณ์นั้นราคาไม่แพงอย่างที่คิดค่ะ ไม่จำเป็นต้องซื้อรุ่นที่แพงมากนัก แค่เพียงซื้อรุ่นทั่วไปที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดพอสำหรับคุณก็พอ

  
          การมีพื้นที่จำกัดในการออกกำลังกายไม่ใช่อุปสรรคในการออกกำลังกาย เพียงแค่เรามีความตั้งใจที่จะออกกำลังกาย และมีความตั้งใจที่จะมีสุขภาพที่ดี ไม่ว่าจะมีพื้นที่น้อยแค่ไหน เราก็สามารถออกกำลังกายได้ จริงไหมคะ?


ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Wednesday, July 30, 2014

แม่ท้อง อิ่มสบายหลังอาหาร ทำได้ง่าย ๆ




           อาการท้องอืด และรู้สึกแน่นท้องเวลากินอาหาร เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ และสอดคล้องกับสรีระของคุณแม่ท้องที่เปลี่ยนไปค่ะ ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกช่วงอายุครรภ์ และหากท้องใหญ่มากขึ้น มดลูกมีการเบียดทับลำไส้มากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด หรือท้องอืดมากขึ้นได้

          วิธีการกินให้สบายหลังอาหารในเบื้องต้นสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

         
1. กินอาหารย่อยง่าย & ปริมาณน้อยลง ช่วง ตั้งครรภ์คุณแม่ท้องควรกินให้น้อยลง แต่บ่อยมื้อมากขึ้น หรือมีอาหารว่างระหว่างมื้อ เพื่อช่วยให้พอถึงมื้อหลักก็จะรู้สึกอยากกินน้อยลงค่ะ

          เวลากินควรตักข้าวทีละน้อย ๆ พยายาม อย่ากินข้าวคำ น้ำคำ และควรเลือกอาหารที่เป็นน้ำ ๆ รสไม่จัดมาก ก็จะช่วยให้ย่อยง่ายได้ เช่น ก๋วยเตี๋ยว โจ๊ก ข้าวต้ม แกงจืด เป็นต้น

          ที่สำคัญไม่ควรละเลยที่จะกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ด้วยนะคะ โดยเฉพาะช่วงไตรมาส ที่ 2-3 ควรกินแป้งและไขมันน้อยลง และเน้นอาหารประเภทโปรตีนและผลไม้แทน ก็จะช่วย ให้ปัญหาแน่นท้องลดน้อยลงไค้

         
2. นั่งยืดตัวตรงเวลากิน เวลากินอาหารทุกครั้งคุณแม่ท้อง ควรนั่งยืดตัวตรง หรือเอนหลังเล็กน้อยกับเก้าอี้ที่มีพนักพิงนิ่ม ๆ นะคะ เพราะการนั่งกินกับพื้นจะยิ่งทำให้รู้สึกอึดอัด หรือแน่นท้องได้ง่ายขึ้น

          หากคุณแม่กินแล้วรู้สึกว่าแน่นหรืออืดท้อง แต่ยังไม่อิ่ม หรือกินไปได้นิดเดียว ให้ลองลุกเดินไปมาสักพักแล้วค่อยกลับมากินใหม่ ก็จะช่วยให้กินได้มากขึ้น และรู้สึกอิ่มแบบไม่อึดอัดท้องค่ะ

         
3. เคี้ยวช้า ๆ สบายท้อง การเคี้ยวข้าวก็สำคัญไม่แพ้ท่านั่งค่ะ เพราะการควรเคี้ยวช้า ๆ จะช่วยลดการทำงานของกระเพาะอาหาร ในการย่อย

          คุณแม่ท้องจึงต้องเคี้ยวข้าวให้ละเอียดที่สุด พยายามเคี้ยวช้า ๆ ค่อย ๆ กลืน ก็ช่วยให้กระเพาะย่อยได้เร็วและง่ายมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะลดอาการจุกเสียด และแน่นท้องหลังอาหารได้แล้ว การเคี้ยวข้าวให้ละเอียดยังช่วยในเรื่องของการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย ได้ดีอีกด้วยค่ะ

         
4. บรรยากาศดี ผ่อนคลายสบายท้อง เรื่องของบรรยากาศ ช่วยให้เรากินอาหารไค้อร่อยและรู้สึกรื่นรมย์ไค้ค่ะ หากคุณแม่ท้องเลือกนั่งกินข้าวในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ปลอดโปร่ง จะเป็นที่บ้าน หรือนอกบ้านก็ได้ค่ะ

          ที่สำคัญจะต้องปราศจากกลิ่นไม่พึงประสงค์ หรือกลิ่นกับข้าวที่เพิ่งทำเสร็จลอยฟุ้งไปมา รับรองค่ะว่าคุณแม่จะเจริญอาหาร และมีความสุขกับการกินเพื่อลูกน้อยในท้องมากขึ้นเป็นกองเลยล่ะ

         
5. กินยาลดกรดและขับลม สำหรับคุณแม่ท้องที่กินไม่ได้เลย อาจต้องปรึกษาคุณหมอค่ะ เพื่อให้คุณหมอช่วยเรื่องยา เช่น กินยาลดกรด หรือยาขับลม

          ส่วนคุณแม่ที่มีโรคประจำตัวอื่น ๆ เช่น เคยเป็นโรคกรดไหลย้อนอยู่แล้ว ช่วงตั้งครรภ์อาจเกิดกรดไหลย้อนมากขึ้นได้ จึงต้องดูแลการใช้ยาอย่างเคร่งครัด ซึ่งยาในปัจจุบันที่รักษาเรื่องของกรดไหลย้อน จะไม่ค่อยดูดซึมไปสู่กระเพาะมากนัก จึงปลอดภัยกับคุณแม่และลูกน้อยในท้องค่ะ

          หากคุณแม่ทำตามวิธีที่แนะนำทุกอย่างแล้ว แต่ยังมีอาการแน่นท้องอยู่บ้าง ก็ให้ทำใจให้สบาย ไม่ต้องไปเครียดกับอาการที่เป็นมากค่ะ เพราะช่วงท้องเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณแม่ท้องจะต้องเผชิญอยู่แล้วตาม ธรรมชาติ ซึ่งเมื่อผ่านพ้นไปถึงช่วงหลังคลอดก็จะกลับมาเป็นปกติไค้ค่ะ

เรื่อง : สิริพร
แหล่งที่มา  รักลูก, http://baby.kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Tuesday, July 29, 2014

4 สไตล์การนอนของเบบี๋





         เด็กแต่ละคนมีลักษณะนิสัยต่างกัน และมีธรรมชิตการนอนที่ต่างกัน เช่น เด็กบางคนนอนไม่นาน แต่นอนบ่อย เป็นเด็กตื่นเช้า เป็นเด็กตื่นง่าย เป็นต้น ทารกส่วนใหญ่จะนอนหลับครั้งละสั้น ๆ ประมาณ 3-4 ชั่วโมง จนกระทั่งอายุ 9-10 เดือนจึงจะนอนได้ยาวกว่านี้ แต่ถ้าเด็กน้อยมีลักษณะการนอนที่ต่างไปจากนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องหาทางรับมือ และปรับการนอนของลูกให้สมดุลค่ะ เรามาทำความรู้จัก 4 สไตล์การนอนของทารกกันดีกว่าค่ะ

งีบแบบแมว

         เด็กบางคนนอนแค่สั้น ๆ ประมาณครั้งละ 30-45 นาที นอกจากนอนไม่นานแล้วเวลาในการหลับแต่ละครั้งก็ไม่แน่นอนสั้นยาวไม่เท่ากันด้วย

         Solution : เด็กที่นอนบ่อย ๆ ครั้งละสั้น ๆ จะตื่นได้นานประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมงจึงจะถึงเวลาหลับครั้งต่อไป ดังนั้นควรให้ลูกนอนหลับเป็นเวลามากขึ้น อาจใช้วิธีปลุกลูกให้ตื่นในตอนเช้าเวลาเดียวกันทุกวัน เช่น ปลุกลูกตอน 7 โมงเช้าทุกวัน และพยายามให้ลูกนอนหลับครั้งต่อไปในอีก 2 ชั่วโมงถัดไป พยายามให้ลูกนอนเป็นเวลาในแต่ละวัน เทคนิคสำคัญคือ เอาลูกเข้านอนโดยไม่ต้องรอให้ลูกง่วงจนขยี้ตา หรืองอแงเพราะง่วง เนื่องจากส่วนใหญ่ทารกจะเหนื่อย และอยากงีบหลับก่อนที่จะส่งสัญญาณต่าง ๆ ออกมาอยู่แล้ว

 ตื่นแต่เช้า

         เด็กบางคนนอนได้ยาวตลอดคืน แต่ตื่นเช้ามาก เช่น ตื่นมาตอนตี 4 หรือตี 5 จนบางครั้งคุณพ่อคุณแม่เหนื่อยไปตาม ๆ กันที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดพร้อมกับลูกน้อย

         Solution : ถ้า คุณพ่อคุณแม่พาลูกเข้านอนตอน 6 โมงเย็น หรือ 1 ทุ่ม เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับลูกน้อยที่จะตื่นขึ้นมาตอนตี 5 หรือ 6 โมงเช้า หากอยากให้ลูกตื่นสายขึ้นลองพาลูกเข้านอนช้ากว่านั้นสัก 15-30 นาที อาจช่วยให้ลูกตื่นสายขึ้นได้บ้าง แต่ถ้ายังไม่ช่วยอะไรแสดงว่าลูกเป็นเด็กตื่นเช้าโดยธรรมชาติ หรืออาจใช้เทคนิคทำราวกับว่านี่คือการตื่นมาตอนกลางคืน คือคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเปิดไฟให้สว่าง และพยายามกล่อมให้ลูกหลับต่ออีกสักพัก

ตื่นง่าย

         เด็กน้อยบางคนไม่มีปัญหาในการหลับ แต่รู้สึกตัวตื่นง่ายมาก แม้กระทั่งเสียงคุณแม่ทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ได้ดังมาก เสียงแตรรถยนต์ หรือแสงที่ส่องเข้ามาในที่นอนเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ลูกตื่นขึ้นมาได้แล้ว

         Solution : ปกติ เด็กทารกมักจะรู้สึกตัวตื่นสั้น ๆ ไม่กี่นาทีระหว่างที่นอนหลับ แล้วก็สามารถหลับต่อได้เอง แต่สำหรับเด็กน้อยที่รู้สึกตัวตื่นได้ง่ายมาก คุณพ่อคุณแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะหลับต่อไปด้วยตนเอง ไม่ควรเข้าไปโอ๋ลูกหรืออุ้มขึ้นมาทันที และสำหรับเด็กตื่นง่าย ควรจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้ลูกนอนหลับได้ลึก ห้องนอนลูกควรมืดสนิท อุณหภูมิอบอุ่นพอเหมาะ ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป อาจลองใช้เสียงเพลงบรรเลงเบา ๆ เพื่อกล่อมลูก และใช้เป็นเสียงเพื่อป้องกันเสียงดังรบกวนจากภายนอก

นอนยาก

         เด็กบางคนนอนหลับยากมาก ไม่ยอมนอนหลับ บนที่นอนของตัวเอง นอนหลับไม่เป็นเวลา เมื่อไม่ยอมนอน ก็มักจะไปง่วงหลับบนคาร์ซีท หรือหลับในเวลาที่ไม่ควรหลับ แต่ทำอย่างไรก็ไม่ค่อยยอมนอนหลับในที่นอนของตนเอง เด็กหลับยากเกิดได้จากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากคุณพ่อคุณแม่สร้างเงื่อนไขในการนอนหลับตั้งแต่แรก เช่น จะต้องอุ้มลูกโยกไปมาทุกครั้งเพื่อให้นอนหลับ เด็กน้อยก็จะจดจำว่าต้องอุ้มเท่านั้นจึงจะนอนหลับ ส่งผลทำให้เด็กนอนหลับได้ยาก

         Solution : ถ้า อยากให้ลูกน้อยนอนหลับได้ ในที่นอนของตนเอง ต้องเริ่มฝึกตั้งแต่วันนี้ อาจใช้ตัวช่วยเป็นสิ่งของที่ลูกชอบ เช่น ของเล่นชิ้นโปรด ตุ๊กตาตัวโปรด หรือเสื้อยืดตัวเก่าของคุณแม่ วางไว้ในที่นอนเพื่อให้ลูกนอนหลับในที่นอนของตนเองได้ง่ายขึ้น ในทางกลับกันเด็กน้อยบางคนหลับที่อื่นไม่ได้เลยนอกจากหลับในที่นอนของตนเอง เด็กแบบนี้อาจจะเลี้ยงง่ายเมื่ออยู่บ้าน แต่อาจเป็นปัญหาเมื่อต้องเดินทางไปพักที่อื่น หรือจำเป็นต้องไปนอนที่อื่น แม้จะเป็นเรื่องที่ดีที่ลูกนอนหลับง่ายและนอนหลับเป็นเวลา แต่เพื่อฝึกให้ลูกมีความยืดหยุ่นในการนอนก่อนเดินทางสัก 1 สัปดาห์ อาจจะมี 1-2 วันที่ให้ลูกงีบหลับช่วงเช้ายาวหน่อย แล้วไม่ต้องนอนหลับในช่วงบ่าย หรือถ้าจำเป็นต้องออกไปข้างนอก และไม่อยากให้ลูกหลับบนรถจนผิดเวลานอนแล้วกลับมาบ้านไม่ยอมนอน คุณพ่อคุณแม่อาจจะพยายามกระตุ้นให้ลูกตื่น ด้วยการพูดคุยเล่นกับลูก ร้องเพลง หรือเปิดซีดีเพลงสนุก ๆ ให้ลูกฟังแล้วค่อยให้กลับมานอนสบายที่บ้านค่ะ

          การเข้าใจธรรมชาติการนอนโดยปกติทั่วไปของเด็กวัยนี้ และลักษณะการนอนในแบบเฉพาะตัวของเด็กแต่ละคน จะช่วยไว้คุณพ่อคุณแม่จัดการกับพฤติกรรมการนอนของลูกให้เหมาะสมลงตัว จัดสมดุลการนอนของลูกให้มีคุณภาพเพื่อให้ลูกน้อยได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ และมีพัฒนาการนอนที่ดีต่อไปเมื่อลูกโตขึ้นค่ะ

เรื่อง : Jan B.
แหล่งที่มา  modernmom, http://baby.kapook.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

Monday, July 28, 2014

9 สูตรลับชะลอวัย สุขภาพดี




           ความสวยอ่อนเยาว์เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝันถึง แต่จะมีวิธีไหนที่ทำให้ความสวยนั้นคงอยู่กับเราได้นานที่สุด ลองมาดูกัน

1. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ 

          น้ำเปล่านอกจากจะทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าแล้ว ยังช่วยให้กระบวนการขับของเสียของร่างกาย ทำงานได้อย่างง่ายดาย ไม่ทำให้อ้วน น้ำจะช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพ สร้างความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยการทำงานของสมอง การปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ แม้เพียงเล็กน้อย เป็นเวลานาน ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นนิ่วในไต มะเร็งในลำไส้ใหญ่และในทางเดินปัสสาวะ 

  
2. เสียเหงื่อบ้าง 

          มีการวิจัยล่าสุดบอกว่า การออกกำลังกายให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นจนเหงื่อออก จะช่วยเสริมสร้างความอ่อนเยาว์ได้วิเศษที่สุด ถ้าคุณออกกำลังกายจนหัวใจเต้นในอัตรา 80 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นสูงสุดของวัย (ซึ่งคำนวณโดยใช้ 220 ตั้ง ลบด้วยอายุ แต่ถ้าคุณออกกำลังกายในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างเย็น ก็ไม่ต้องใช้เครื่องวัดอะไร เพราะจะรู้ได้ทันทีที่เหงื่อไหลหยด) จะทำให้เส้นเลือดของคุณมีความยืดหยุ่น เพราะได้ขยายตัวอยู่บ่อย ๆ ช่วยลดความดันโลหิตในที่สุด 


3. นวดผ่อนคลาย 

          ความเครียดเป็นหนึ่งในตัวการทำลายสุขภาพและความอ่อนเยาว์ที่สำคัญที่สุด การจัดการความเครียดยังนับว่ายากเป็นอันดับต้น ๆ การนวดแบบธรรมดา ๆ ก็ลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ก่อความเครียดได้แล้ว และการนวดยังช่วยกระตุ้นการปลดปล่อยสารแก้ปวดตามธรรมชาติที่เรียกว่าโอ ปิออยด์สในสมองด้วย และยังเร่งการไหลเวียนของอ็อกซีโทซิน  ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และกระตุ้นความรู้สึกสงบและพึงพอใจด้วย 

  
4. ลดน้ำตาล 

          รู้ไหมว่าเมื่อกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด โปรตีนตัวที่มันมุ่งหน้าไปหาก่อนอย่างอื่น (และจะทำลายมากที่สุด) ก็คือคอลลาเจนและอิลาสติน ซึ่งเข้าใจกันว่ามีส่วนช่วยรักษาความยืดหยุ่นของผิวหนัง ลองกินผลไม้แทนของหวานจะดีกว่าเพราะให้ทั้งความหวาน ใยอาหารและดีต่อสุขภาพด้วย 

  
5. กินผักให้มากขึ้น

          ผักเป็นแหล่งแคลเซียมที่ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าแคลเซียมจากสัตว์ อย่างนม เนยแข็ง และโยเกิร์ต แม้นมจะอุดมแคลเซียม แต่เอ็นไซม์ชื่อฟอสเฟเตส ซึ่งช่วยดูดซึมแคลเซียม และมีอยู่ในนมที่รีดมาสด ๆ จากแม่วัวนั้น จะถูกทำลายไประหว่างกระบวนการพาสเจอไรซ์ ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า เราดูดซึมแคลเซียมจากนมได้เพียงราว 32 เปอร์เซ็นต์ แต่ได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ถ้าเป็นแคลเซียมจากผักใบเขียว ลองกินผักชนิดที่มีใบสีเขียวเข้มให้ได้สัปดาห์ละ 5 มื้อ โดยเฉพาะพวกบร็อคโคลี่ คะน้า หรือผักบุ้ง เพราะผักเป็นทั้งแหล่งแคลเซียมชั้นดี ให้ใยอาหาร ต่อต้านมะเร็ง และอุดมด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย 

  
6. หลับเพื่อความงาม

          การหลับไม่เพียงพอทำให้ร่างกายยิ่งเสื่อมโทรม เพื่อให้ร่างกายมีโอกาสฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง ลองเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลา งดการงีบหลับนอกเวลา ออกกำลังกายเป็นประจำ ดูแลให้เตียงนอนได้สบาย ห้องนอนมีแสงและเสียงรบกวนน้อยที่สุด ก่อนนอนก็ควรทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย อย่างฟังดนตรี อ่านหนังสือ ดื่มนมอุ่น ๆ หรืออาบน้ำอุ่น 

  
7. อย่านำผลไม้แช่เย็น

          เก็บผลไม้ไว้ในอุณหภูมิห้องจะช่วยเพิ่มสารต่าง ๆ ที่เสริมสุขภาพทำงาน ผลไม้สีแดง อย่างมะเขือเทศ แตงโม ฝรั่งแดง และเกรฟฟรุตสีแดงหรือชมพู ที่เก็บในอุณหภูมิห้องจะมีเบต้าแคโรทีน (ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ) มากกว่าผลไม้แช่เย็นถึงสองเท่า อุณหภูมิปกติยังเพิ่มไลโปซีน (สารต้านอนุมูลอิสระที่ดีอีกตัว) ในผลไม้ได้ถึง 20 เท่า 


8. คิดบวก

          คนที่มองโลกในแง่ดีมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนมองโลกในแง่ร้าย ผลการวิจัยของเนเธอร์แลนด์พบว่าคนที่มองอนาคตและความสัมพันธ์ในแง่บวกจะลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ 23 เปอร์เซ็นต์ และลดอัตราการตายก่อนวัยอันควรจากสาเหตุอื่น ๆ ได้ 55 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็อย่าลืมหัวเราะในทุก ๆ วัน  การหัวเราะเป็นเหมือนยาคลายเครียด มันช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน 

  
9. งดแอลกอฮอล์และหยุดสูบบุหรี่

          ทั้งสองสิ่งนี้นอกจากจะมีอันตรายกับอวัยวะของร่างกายแล้ว ยังทำลายสารต้านอนุมูลอิสระของร่างกายด้วย ส่งผลให้สาวดื่มหนักและสาวนักสูบแลดูมีอายุกว่าวัย แถมยังทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำจนขาดความชุ่มชื่น ผิวพรรณแห้งกร้าน ไม่สดใสเปล่งปลั่ง 


แหล่งที่มา  คู่หูเดินทาง, http://health.kapook.com/view25225.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต