Sunday, March 1, 2015

มาเช็คสัญญาณบอกอาการโรคไตกัน




         มาตรวจสอบสัญญาณบ่งชี้โรคไตกันหน่อยดีกว่า ว่าความผิดปกติของตัวเองเข้าข่ายเป็นโรคไตหรือไม่

มีอาการบวมทั้งตัว

          ผู้ป่วยโรคไตส่วนมากจะมีอาการบวมตามตัว เกิดจากการมีน้ำและเกลือเพิ่มขึ้นในร่างกาย ระยะแรกอาจมีเพียงการบวมที่หนังตา และหน้า ต่อมาจะมีการบวมที่ขาและเท้าทั้งสองข้าง โดยอาจรู้สึกว่าแหวนหรือรองเท้าคับขึ้น ถ้าบวมไม่มากอาจสังเกตไม่เห็น แต่ทดสอบได้ด้วยการลองใช้นิ้วกดที่หน้าแข้งสักพักแล้วปล่อย หากพบว่ามีรอยบุ๋มอยู่แสดงว่าบวมแน่น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อวินิจฉัยโรค เพราะอาการบวมอาจไม่ได้เป็นโรคไตก็ได้ แต่ยังเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ และโรคตับ ดังนั้น การตรวจปัสสาวะน่าจะได้ผลที่ชัดเจนที่สุด

เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ซีด

          ผู้ที่เป็นโรคไต ถ้าเป็นน้อย ๆ มักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หากเป็นมาก ๆ ใกล้เป็นไตวายเรื้อรังจะเพิ่มอาการซีด คันตามตัว เบื่ออาหาร

ปวดหลัง ปวดบั้นเอว

          ไต เป็นอวัยวะที่อยู่บริเวณช่วงหลังด้านล่างของเรา ดังนั้น หากไตเกิดความผิดปกติขึ้น เราอาจรู้สึกปวดหลัง บั้นเอวที่บริเวณชายโครง ร้าวไปถึงท้องน้อย หัวหน่าว และที่อวัยวะเพศได้ บางคนก็ถึงขั้นปวดกระดูกและข้อ ซึ่งอาจเป็นเพราะมีการอุดตันที่ท่อไต กรวยไตอักเสบ หรือในท่อไตมีถุงน้ำโป่งพองก็ได้ แต่อาการปวดหลังก็สามารถวินิจฉัยได้หลายโรคเช่นกัน จึงต้องตรวจสอบอาการอื่นควบคู่ ๆ ไปด้วย

          ทั้งนี้ หากเรากดหลัง และทุบเบา ๆ แล้วมีอาการเจ็บ อาจแสดงว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง หรือไตอักเสบ ถ้ามีไข้สูงร่วมด้วยอาจเป็นสัญญาณของกรวยไตอักเสบติดเชื้ออย่างเฉียบพลัน ซึ่งก็มีหลายโรคที่ทำให้เกิดภาวะไตเสื่อมร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรค SLE เป็นต้น

ป้องกันโรคไต ต้องดูแลไตอย่างไรดี?

          โรคไตที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเป็นให้ยุ่งยากในการดูแลรักษาไปตลอดชีวิต เห็นทีต้องมาดูแลไตของเรากันให้มากขึ้นแล้วล่ะ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองแบบนี้ไง

         
ลดการทานอาหารเค็ม ๆ ลง เพื่อควบคุมความดันโลหิต เน้นกินผักผลไม้ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

         
ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

         
รักษาและควบคุมน้ำหนักของตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หากตัวเองอ้วนเกินมาตรฐานให้พยายามลดน้ำหนัก

         
ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากความดันโลหิตสูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่คงที่ จะส่งผลให้ไตเสื่อมได้เร็วกว่าปกติ

         
ผู้ป่วยเบาหวานต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อให้อยู่ในระดับปกติ เพื่อป้องกันการทำลายไต รวมทั้งการทำลายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หัวใจ และตา

         
พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ามากเกินไป ควรนอนให้หลับสนิทอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม

         
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะมีผลวิจัยชี้ว่า ไตของผู้สูบบุหรี่จะเสื่อมเร็วกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่

 
         
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อไต เช่น ยาแก้ปวดข้อ ปวดหลัง ทั้งชนิดรับประทานและแบบฉีด หากใช้ในขนาดสูง หรือนานเกินไป ก็มีพิษต่อไตได้ รวมทั้งต้องระวังการกินยาแก้ปวดติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ด้วย

 
         
อย่าปล่อยให้เป็นโลหิตจาง เพราะมีการศึกษาพบว่า ถ้ารักษาภาวะซีดหรือโลหิตจางให้ดี จะทำให้ไตเสื่อมช้าลงได้

         
ป้องกันภาวะติดเชื้อ โดยเฉพาะการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่ต้องรีบรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้ไตเสื่อม

         
ปฏิบัติสมาธิอย่างสม่ำเสมอ วันละ 10-15 นาที หรือสวดมนต์ให้จิตใจสงบก็ได้ เพื่อผ่อนคลายความเครียด และส่งผลดีต่อระบบประสาท ความดันโลหิต 

เป็นโรคไตต้องห้ามดื่มน้ำมาก และจำกัดอาหารเค็มใช่หรือไม่?

          หลายคนสงสัยกันมากในเรื่องนี้ เพราะมักจะได้รับการบอกต่อกันมาว่า หากเป็นโรคไตไม่ควรทานอาหารเค็ม และดื่มน้ำมากเกินไป เพราะจะทำให้ไตทำงานหนัก แต่จริง ๆ แล้ว การจำกัดน้ำดื่มและจํากัดอาหารเค็มนั้นจะจํากัดเฉพาะผู้ป่วยโรคไตที่มี ปริมาณปัสสาวะน้อย อยู่ในระยะที่มีอาการบวม มีภาวะหัวใจล้มเหลวหรือมีความดันโลหิตสูงเท่านั้นที่ควรจำกัดปริมาณน้ำ ดื่มในแต่ละวันให้เท่ากับ "ปริมาณปัสสาวะของเมื่อวาน+500 มิลลิลิตร" แต่ถ้าไม่อยู่ในภาวะเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดน้ำดื่ม ส่วนอาหารเค็ม ถ้าลดได้ก็ถือเป็นเรื่องดีค่ะ

ป่วยโรคไต ทานอาหารแบบไหนดี?

          เมื่อเป็นโรคไตแล้ว เวลาจะหยิบอะไรทานก็คงต้องคิดแล้วคิดอีกว่าอาหารเหล่านั้นจะยิ่งไปทำให้ไตทำงานหนักขึ้นหรือไม่ หรืออาหารอะไรที่ควรทานให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้ไตแข็งแรงขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาการป่วยที่เป็นนั่นเอง

         
หากป่วยเป็นโรคไตที่มีการรั่วของไข่ขาวออกมาทางปัสสาวะมาก ๆ แสดงว่ามีระดับไข่ขาวในเลือดต่ำ ต้องรับประทานอาหารประเภทโปรตีนให้เพียงพอ เพื่อชดเชยไข่ขาวที่สูญเสียไปทางปัสสาวะ

         
หากเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะหลัง มีสารพิษคั่งในร่างกายมาก ๆ แบบนี้ไม่ควรทานโปรตีนมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้มีของเสียคั่งค้างมากขึ้น ควรเลือกทานเนื้อปลาที่ย่อยง่าย และมีคุณค่าทางอาหารสูง แต่ถ้าใครยังอยากทานเนื้อหมู เนื้อไก่ ก็ยังทานได้ แต่ต้องลดปริมาณลง 

         
หากเป็นโรคไตวายเรื้อรังที่มีปัสสาวะน้อย ควรจำกัดอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน ผลไม้ เลือกทานแป้ง น้ำตาล ได้ ยกเว้นผู้ป่วยโรคไตที่เป็นโรคเบาหวานด้วย

         
หากเป็นโรคไตวายพิการระยะแรก ๆ ที่ยังไม่มีความดันโลหิตสูง และยังไม่มีอาการบวม ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังไม่จำเป็นต้องลดการดื่มน้ำ หรือจำกัดเกลือโซเดียม เพราะยังเป็นระยะที่มีปริมาณปัสสาวะเท่าเทียมกับคนปกติ

         
หากเป็นโรคไตวายพิการระยะหลัง ๆ เท่ากับว่าไตเสื่อมมากขึ้นแล้วจนไม่สามารถขับน้ำและเกลือโซเดียมได้เท่าคน ปกติ คนกลุ่มนี้จะต้องจำกัดการดื่มน้ำและเกลือโซเดียม เพราะผู้ป่วยจะถ่ายปัสสาวะน้อย มีภาวะบวม ความดันโลหิตสูง

อาหารอะไรที่มีโซเดียมมากเกินไป ต้องหลีกเลี่ยง

          พูดเรื่องอาหารเค็ม ๆ มาหลายบรรทัดแล้ว เชื่อว่าหลายคนยังอยากรู้ว่า นอกจาก "เกลือ" แล้ว ยังมีอาหารอะไรบ้างที่มีโซเดียมมากจนเป็นอันตรายต่อไตของคุณ มาลองดูกัน

         
อาหารที่มีรสเค็มทั้งหลาย เช่น เกลือป่น น้ำปลา ซอสหอยนางรม ซีอิ๊ว พริกน้ำปลา ซอสปรุงรส ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ ซอสเปรี้ยว ๆ ทั้งหลาย

         
อาหารดองเค็ม เช่น กุ้งแห้ง กะปิ ผลไม้ดอง ผักดอง ปลาเค็ม เนื้อแดดเดียว

         
อาหารดองเปรี้ยว เช่น หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง ไส้กรอกอีสาน แหนม กระเทียมดอง

         
อาหารที่มีรสหวานและเค็มจัด เช่น ปลาหวาน กุ้งหวาน หมูหย็อง หมูแผ่น กุนเชียง ผลไม้แช่อิ่ม

         
อาหารที่ใส่ผงฟู เช่น เค้ก ซาลาเปา ขนมปังโฮลวีท เบเกอรี่ต่าง ๆ


          รับทราบเรื่องของโรคไต โรคที่เป็นได้จากการไม่เลือกทานอาหารแบบนี้แล้ว คงรู้แล้วใช่ไหมว่า ถ้าไม่อยากทรมานกับโรคไต จำ ไว้ว่าต้องลดการกินเค็มลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ลดการดื่มแอลกอฮอล์ หมั่นดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน เพราะ 2 โรคร้ายนี้จะนำโรคไตมาสู่คุณอีกไม่นานแน่นอน


แหล่งที่มา  http://health.kapook.com/view64451.html
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

No comments:

Post a Comment