Sunday, November 9, 2014

เมนู...หัวใจแข็งแรง




          คุณทราบกันไหมคะว่าโรคอะไรที่มาคร่าชีวิตผู้หญิงเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ใช่...มะเร็งเต้านมหรือมะเร็งปากมดลูก แต่มันคือโรคหัวใจ! คุณฟังไม่ผิดหรอกค่ะ

          จะว่าไปแล้ว โรคหัวใจที่มาก่อกวนผู้หญิง (รวมถึงคุณผู้ชายด้วยเช่นกัน) นั้น สาเหตุใหญ่ ๆ อย่างหนึ่งก็มาจากเรื่องอาหารที่เรากินแบบตามใจปาก นอกจากนั้นก็จะเป็นการไม่ดูแลสุขภาพดีพอ ความเครียด และวิตกกังวล ฯลฯ

          ไปรู้ข้อมูลมาแบบนี้แล้วก็เริ่มได้คิดค่ะ จะเริงร่าชะล่าใจคิดว่าผู้หญิงอย่างเรา ๆ จะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ชายเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้แล้ว หลังจากหาข้อมูลที่จะดูแลหัวใจให้แข็งแรง ก็ไปเจอคำแนะนำตั้งหลายอย่าง แต่ที่สะดุดหยุดความสนใจมาก ๆ ก็คือเรื่องอาหารการกินนี่แหละ กินอะไรล่ะหัวใจถึงแข็งแรง อยากรู้เหมือนกันแล้วใช่ไหมล่ะ...

 ไขมันต่ำ มากคุณภาพ

         
ไขมันต่ำในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงงดการกินไขมันไปเลยนะคะ แต่เลือกกินอาหารที่มีไขมันไม่สูงเกินไป และที่สำคัญคือต้องเลือกที่เป็นไขมันคุณภาพดี ซึ่งก็คือไขมันไม่อิ่มตัวที่มาจากพืช ถั่ว ปลา แทนไขมันอิ่มตัวที่มาจากเนื้อสัตว์

          ที่บอกอย่างนี้ก็เพราะไขมันอิ่มตัวจากเนื้อติดมัน สามชั้น กากหมูในกระเทียมเจียว ฯลฯ ที่หลาย ๆ คนชอบนั้น จริง ๆ แล้วมันเป็นตัวการทำให้เส้นเลือดหรือหลอดเลือดในตัวคุณอุดตัน เหมือนท่อน้ำมีสนิมเกรอะกรังไม่มีผิดเชียวค่ะ และยิ่งถ้าไปอุดตันที่เส้นเลือดแถว ๆ หัวใจขึ้นมา ไม่ต้องบอกก็รู้นะคะว่าจะเกิดอะไรขึ้น

          กินให้เหมาะ

          *เน้นกินปลาที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ
มีไขมันคุณภาพดีชนิดไม่อิ่มตัวอย่างโอเมก้า 3 โอเมก้า 6 สูง เช่น ปลาแซลมอน แมคคอเรล ปลาทู ปลาเก๋า แทนเนื้อหมูเนื้อวัวติดมัน อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง

          *หันมาอิ่มอร่อยกับอาหารปิ้ง นึ่ง ย่าง แทนของทอดอุดมน้ำมัน เพราะเมื่อทอดแล้วไขมันดีจะออกไปอยู่กับน้ำมันที่ใช้ทอดแทน

          *ปรุงอาหารด้วยไขมันจากพืช อย่างน้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดทานตะวัน ซึ่งเป็นน้ำมันคุณภาพดีแทนไขมันจากสัตว์


 อ่อนเค็ม เน้นรสธรรมชาติ

         
อาหารเค็มนอกจากจะมีผลกับไตซึ่งมีหน้าที่ควบคุมระดับน้ำ เกลือแร่ และของเสียในร่างกายแล้ว ความเค็มยังเป็นตัวการที่ทำให้ความดันสูงด้วยค่ะ ซึ่งจะส่งผลทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก เส้นเลือดแข็งตัวได้ง่ายขึ้นอีกด้วยค่ะ

          กินให้เหมาะ

          *เน้นการกินอาหารสดใหม่ที่ผ่านกระบวนการแปรรูปน้อย
เช่น ผักสด ไข่ต้ม เนื้อปลาสดใหม่ แทนที่จะเป็นไข่เค็ม ปลาเค็ม ผักดองต่าง ๆ ไส้กรอก แฮม แหนม เต้าหู้ยี้ ฯลฯ เพราะอาหารกลุ่มนี้จะมีการเติมเกลือไปในกระบวนการทำค่อนข้างมาก หากเพลินปากกินเข้าไปเยอะ ๆ ก็จะลำบากตัวได้

          *เวลาทำอาหารหรือจะเติมความเค็ม เพิ่มรสชาติ ให้ลองเปลี่ยนมาใช้ซีอิ๊วขาวหรือซอสหอยนางรมที่มีปริมาณเกลือหรือ โซเดียมน้อยกว่าน้ำปลาแทนดูค่ะ แต่ทางที่ดีควรค่อย ๆ ปรับลิ้นลดความเค็มในอาหารที่กินให้คุ้นเคยจะดีที่สุดค่ะ

 อ่อนหวาน มากไฟเบอร์

         
ของหวานแสนอร่อยที่กินแล้วชื่นใจก็เพราะมีส่วนผสมของน้ำตาล (เชิงเดี่ยว) ที่ไม่ต้องเสียเวลาย่อยอีก ร่างกายจึงเอาไปใช้ได้เลยทันทีของหวานจัดความจริงนาน ๆ กินทีหรือกินน้อย ๆ ก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเผลอตัวกินบ่อย ๆ เห็นทีจะไม่ไหวค่ะ เพราะด้วยคุณสมบัติใช้ได้ทันใจ เวลากินของหวานมาก ๆ จึงทำให้น้ำตาลในเลือดสูงปรี๊ดเกินระดับอย่างรวดเร็ว คราวนี้ก็เดือดร้อนถึงตับอ่อน ที่ต้องผลิตอินซูลินมาคอยจัดการควบคุมดูแลน้ำตาลเหล่านี้ให้พอเหมาะ ซึ่งจะทำให้ตับอ่อนทำงานหนัก แถมยังเสี่ยงกับการที่เส้นเลือดจะตีบได้ง่ายอีกด้วย นอกจากนั้นส่วนที่เหลือใช้ก็จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นไขมันสะสมไว้ยามขาดแคลน แถว ๆ รอบเอว ต้นขานั่นเอง... ที่โบราณบอกว่าหวานเป็นลม ขมเป็นยามันคงเป็นอย่างนี้นี่เอง

          กินให้เหมาะ

         
*เลือกกินผลไม้สดได้รสหวานจากธรรมชาติที่มีประโยชน์กับสุขภาพดีกว่า เพราะจะเป็นน้ำตาลที่ต้องผ่านกระบวนการย่อยก่อนปริมาณน้ำตาลจึงไม่พุ่งปรู๊ดปร๊าดเกินไปนัก ในผลไม้สด (ที่รสไม่หวานจัด) ยังอุดมด้วยวิตามินและไฟเบอร์ (ใยอาหาร) ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้คล่องแคล่วดีเป็นผลพลอยได้ด้วย

          *น้ำสะอาด เป็นเครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับร่างกาย ไม่ต้องเพิ่มภาระให้ร่างกายต้องจัดการใด ๆ ให้วุ่นวายอีก

          *อย่าลืมว่าอาหารประเภทแป้งทุกอย่างที่เรากินเข้าไป จะกลายเป็นน้ำตาลในที่สุด เพราะฉะนั้นควรเลือกกินแป้งประเภทที่ผ่านการขัดสีน้อย ๆ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต เพื่อให้ร่างกายใช้เวลาจัดการแป้งเหล่านี้อย่างพอเหมาะ จะทำให้อิ่มนาน อยู่ท้อง ไม่หิวบ่อย แถมยังมีใยอาหารดีกับสุขภาพของคุณ ๆ อีกด้วยค่ะ

          ได้รู้เทคนิคเลือกเมนูดูแลหัวใจตัวเองแล้ว คราวนี้ก็แข็งแรงพร้อมดูแลทุกคนในครอบครัว ให้อยู่กับคุณตลอดไปแล้วล่ะค่ะ


แหล่งที่มา  Modern Mom, http://health.kapook.com/view3983.html

No comments:

Post a Comment