Wednesday, August 31, 2016

4 ขั้นตอนเพื่อการลดน้ำหนักที่เร็วและปลอดภัยที่สุด




ทุกคนที่เคยลดน้ำหนักย่อมเข้าใจว่าการลดน้ำหนักเป็นภาระที่หนักหน่วง อย่างไรก็ตามกฎหลักที่บอกว่าบริโภคแคลอรี่แต่น้อยและเผาผลาญแคลอรี่ให้มากขึ้นนั้นก็ใช่ว่าจะใช้ได้เสมอไป หากคุณต้องการลดน้ำหนักอย่างเร่งด่วน เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้น่าจะมีประโยชน์สำหรับคุณ


1.  งดบริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต
 
  คาร์โบไฮเดรตเป็นศัตรูตัวฉกาจของการลดน้ำหนัก ขณะเดียวกันคุณก็ไม่จำเป็นต้องงดบริโภคน้ำตาลโดยสิ้นเชิง เพียงแค่ลดปริมาณลงก็ใช้ได้แล้ว คาร์โบไฮเดรตจะกระตุ้นการหลั่งอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในร่างกายที่ช่วยในการกักเก็บไขมัน ประเด็นคือหากระดับอินซูลินสูงเกินไปร่างกายก็จะไม่สามารถเผาผลาญไขมันได้ แต่หากระดับอินซูลินต่ำ ร่างกายก็จะเผาผลาญไขมันได้อย่างง่ายดาย 

นอกจากนี้ระดับอินซูลินต่ำจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของไตโดยการขับน้ำและโซเดียมออกจากร่างกายได้มากขึ้น แถมยังลดอาการบวมน้ำได้อีกด้วย คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าการขับน้ำทั้งหมด (ที่ไม่ใช่ไขมัน) จะสามารถลดน้ำหนักได้มากถึงวันละ 3 กิโลกรัมเลยทีเดียว (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)


2.  รับประทานโปรตีนมากขึ้น 

การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับประทานโปรตีน อันที่จริงคุณควรรับประทานโปรตีนทุกวันๆ ละ 3 มื้อด้วยซ้ำ มื้ออาหารในแผนการลดน้ำหนักทั่วไปมักจะประกอบไปด้วยโปรตีน แหล่งไขมัน และผักที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ หากคุณไม่ใช่ผู้ที่นิยมรับประทานเนื้อสัตว์ ขอแนะนำพืชผักที่มีโปรตีนสูงอันได้แก่ เห็ด เมล็ดฟักทอง เมล็ดเจีย ผักกะหล่ำ ซึ่งสามารถนำมารับประทานแทนเนื้อสัตว์ได้ ผักที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำก็เป็นองค์ประกอบสำคัญในการลดน้ำหนักได้แก่ บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก ผักโขม ผักกาดขาว ผักกาดหอม คื่นช่าย แตงกวา และคะน้า ขณะที่แหล่งไขมันชั้นดีก็ประกอบไปด้วยน้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว น้ำมันอะโวคาโด้ และเนย


3.  ฝึกคาร์ดิโอ 

การฝึกคาร์ดิโอจะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ขณะที่การยกน้ำหนักก็มีประโยชน์ไม่แพ้กันแต่จะเน้นไปที่การสร้างกล้ามเนื้อมากกว่า และเพื่อให้ได้ผลดีคุณควรฝึกคาร์ดิโอควบคู่กับการฝึกด้วยแรงต้าน การฝึกคาร์ดิโอจะประกอบไปด้วยการวิ่ง ว่ายน้ำ เดิน ปีนเขา ปั่นจักรยาน เป็นต้น


4.  เลือกการฝึกที่มีความเข้มข้นสูง

เมื่อคุณผ่านการฝึกคาร์ดิโอแบบปกติได้แล้ว ก็สามารถขยับขึ้นไปอีกขั้นนั่นคือการฝึกที่มีความเข้มข้นสูง เนื่องจากการฝึกที่มีความเข้มข้นสูงจะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นหากคุณวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด (ประมาณร้อยละ 90-95) เป็นเวลาสามนาที คุณก็ควรพักเป็นเวลาสามนาทีเช่นกัน แต่ระหว่างนี้ห้ามหยุดวิ่งเด็ดขาดแต่แค่ผ่อนความเร็วลงไป นอกจากการฝึกคาร์ดิโอแล้วคุณควรยกน้ำหนักและการออกกำลังกายด้วยแรงต้าน ซึ่งสามารถนำมาผสมผสานกันกลายเป็นการฝึกที่มีความเข้มข้นสูงได้


เคล็ดลับเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด 

เพียงปฏิบัติตาม 4 ขั้นตอนข้างบนนี้อย่างถูกต้องคุณก็จะประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วภายใน 4-5 เดือนเท่านั้น แต่ถ้าคุณต้องการลดน้ำหนักมากกว่าเดือนละ 10 กิโลกรัม จงท่องจำให้ขึ้นใจเลยว่าคุณต้องอาศัยความพยายามอย่างมหาศาล ดังนั้นกรุณาปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ควบคู่ไปกับการลดน้ำหนักเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพของตัวคุณเอง


พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างน้อยวันละ 6 - 7 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายสามารถฟื้นฟสภาพได้อย่างเต็มที่

พักอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนที่จะบริหารกลุ่มกล้ามเนื้อเดิม เนื่องจากกล้ามเนื้อของคุณก็ต้องการเวลาพักและฟื้นฟูสภาพเช่นกัน

ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการ อันที่จริงภาวะขาดน้ำเป็นสิ่งที่คุณต้องหลีกเลี่ยงไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม การดื่มน้ำเพียงหนึ่งแก้วก่อนมื้ออาหารก็ช่วยควบคมความอยากอาหารได้แล้ว



โพสท์โดย: SpiderMeaw
Source : fhfn.org
http://board.postjung.com/986548.html 


Sunday, August 28, 2016

6 ประโยชน์ของวิตามินพี (Bioflavonoids)...รู้จักแล้ว ต้องหาทานด่วน!!






วิตามินพี (Vitamin P) เป็นสารชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Bioflavonoids หรือที่เราเรียกกันในภาษาไทยก็คือ ไบโอฟลาโวนอยด์...เรา ได้รู้จักชื่อกันแล้ว แล้วคุณรู้จักประโยชน์ของเจ้าวิตามินพีนี้หรือยังล่ะ? หลายคนจะต้องไม่รู้จักเจ้าวิตามินพี (Bioflavonoids) ตัวนี้แน่ๆ ถ้าอย่างนั้น อย่ารอช้าสิ เรามาดูกันเลยว่าวิตามินพี ...ช่วยอะไร มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?


6 ข้อ ประโยชน์ของวิตามินพี (Bioflavonoids) ... ช่วยอะไร?
 
1.วิตามินพีป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน เพราะวิตามินพีเข้าไปช่วยให้เส้นเลือดของร่างกายมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้อาการเลือดออกง่ายนั้นหายไป

2.วิตามินพีช่วยเสริมภูมิต้านทานที่ดีขึ้น เพราะวิตามินพีทำงานเช่นเดียวกับวิตามินซีคือเป็นตัวช่วยให้ร่างกายมีภูมิ ต้านทานดียิ่งกว่าเดิม ช่วยไม่ให้เป็นหวัด ป่วยไข้ง่าย หรือหากเป็นก็ช่วยให้อาการหายไวขึ้น

3.วิตามินพีลดอาการบวมของร่างกายได้ คนที่ได้รับการกระทบกระเทียนบนร่างกาย หรือแมลงสัตว์กัดต่อยแล้วเกิดอาการบวม จากการที่เส้นเลือดขยายตัว แต่หากได้รับวิตามินพีเพิ่มสักหน่อย ก็จะช่วยให้ผนังเส้นเลือดหนาขึ้น อาการบวมลดน้อยลง

4.วิตามินพีช่วยชะลอผิวให้อ่อนเยาว์ และกระจ่างใส อย่างที่เรารู้ดีว่าวิตามินซีนั้นมีฤทธิ์เป็นกรด แล้วยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ให้กับร่างกาย ทำให้ผิวของเราดูกระจ่างใส ขาวขึ้น ซึ่งเจ้าวิตามินพีก็จะทำงานคล้ายๆ กับวิตามินซีนั่นเอง

5.วิตามินพีมีสรรพคุณช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซีให้ดีขึ้น เรียกว่าทานวิตามินพี (Bioflavonoids) แต่ช่วยสนับสนุนวิตามินซีนั่นเอง

6.วิตามินพีช่วยการดูดซึมสารอาหารให้ดีขึ้น โดยวิตามินพีเข้าไปช่วยให้กระเพาะอาหาร และลำไส้มีการดูดซึมสารอาหารได้ง่าย และดีกว่าเดิม จึงได้รับสารอาหารได้มากขึ้น


อาหารที่มีวิตามินพี (Biofavonoids) สูง

เราสามารถทานวิตามินพีได้จากผลไม้เป็นส่วนใหญ่ และที่จำง่ายๆ คือ วิตามินพี (Bioflavonoids) มีอยู่ในผลไม้ประเภทเดียวกับวิตามินซีอีกด้วย อาหารที่มีวิตามินพี คือ มะนาว ส้ม ส้มโอ ลูกพลับ ฝรั่ง องุ่น มะขามป้อม แอพริคอท พริกหวาน มะเขือเทศ มะละกอ บรอคเคอลี่ แคนตาลูป ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ รวมถึงผักผลไม้ที่มีรสชาติฝาดเปรี้ยวอีกด้วย


ขาดวิตามินพี (Biofavonoids) จะเป็นอย่างไร 


อาการของคนที่ขาดวิตามินพี (Bioflavonoids) นั้นจะมีอาการเหมือนคนที่ขาดวิตามินซี นั่นคือ อาการฟกช้ำดำเขียวได้ง่าย เพราะผนังหลอดเลือดจะไม่แข็งแรง ทำให้เกิดอาการบวม เป็นรอยจ้ำสีม่วงหรือสีเขียว และช้ำของเส้นเลือดได้ง่ายกว่าคนอื่น รวมถึงยังทำให้เลือดออกตามไรฟันได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ เพราะเส้นเลือดฝอยแตกง่าย และทำให้มีภูมิต้านทานที่อ่อนแอกว่าคนทั่วไป


ควรทานวิตามินพี (Bioflavonoids) อย่างไร


ปริมาณวิตามินพี (Bioflavonoids) ที่คุณควรได้รับนั้นจะอยู่ที่ 300 - 500 มิลลิกรัม ต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่ร่างกายควรจะได้รับ สำหรับคนที่ทานวิตามินพีมากกว่าปกตินั้น ยังไม่มีผลข้างเคียงหรือว่าผลเสียใดๆ จากการรับประทานวิตามินพีเกินขนาด ซึ่งคุณสามารถทานวิตามินพีได้ตามแหล่งอาหารต่างๆ ในชีวิตประจำวันของคุณได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาวิตามินพีแคปซูลพวกอาหารเสริมใดๆ


ใครควรทานวิตามินพี (Bioflavonoids) ให้มาก


สำหรับคนที่มีอาการเลือดออกตามไรฟัน ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่แปรงฟันหรือว่าเป็นช่วงเคี้ยวอาหารนั้น ล้วนมีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินพี (Bioflavonoids)ได้ เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องทานวิตามินพีให้มาก ส่วนในกลุ่มคนวัยทองเองก็ควรจะทานวิตามินพีให้มากเช่นเดียวกัน เพราะวิตามินพีช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ และลดอาการวัยทองให้น้อยลงได้ รวมถึงคนที่มีรอยฟกช้ำดำเขียวได้ง่ายกว่าคนอื่น มีผิวบอบบางก็ควรทานวิตามินพีให้เยอะๆ เนื่องจากวิตามินพีช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดนั่นเอง


เราได้เห็นถึงสรรพคุณและประโยชน์ของวิตามินพี (Bioflavonoids) ไปแล้ว ว่าสำคัญต่อร่างกายอย่างไร ดังนั้นถ้าอยากมีสุขภาพดี แข็งแรง ผิวาวย อย่าลืมทานวิตามินพี (Bioflavonoids) ด้วยนะค่ะ


เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/543528248754394660/

Saturday, August 27, 2016

หมากเม่า ผลไม้พื้นบ้าน ขจัดสารพิษ ต้านมะเร็ง




          หมากเม่า หรือ มะเม่า ผลไม้พื้นบ้านที่ให้ประโยชน์ได้หลายส่วน เป็นอีกหนึ่งตำรับยาไทยที่คนไทยควรรู้จัก

          ชื่อวิทยาศาสตร์ : Antidesma thwaitesianum Muell.Arg

          ชื่อวงศ์ : Euphorbiaceae

          ชื่อท้องถิ่น : มะ เม่า ต้นเม่า (ภาคกลาง) หมากเม่า (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) หมากเม้า บ่าเหม้า (ภาคเหนือ) เม่า หมากเม่าหลวง (พิษณุโลก) มัดเซ (ระนอง) เม่าเสี้ยน (ลำปาง) เป็นต้น

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ (กรมส่งเสริมการเกษตร, 2550)

          ลำต้น : หมากเม่าเป็นไม้พุ่มต้นสูงประมาณ 5-10 เมตร เป็นไม้พื้นเมืองเนื้อแข็ง แตกกิ่งก้านเป็นจำนวนมาก กิ่งแขนงแตกเป็นพุ่มทรงกลม

          ใบ : เป็นใบเดี่ยว สีเขียวสด ปลายและโคนมนกลมถึงหยักเว้า ขอบใบเรียบ ผิวใบเรียบมันทั้ง 2 ด้าน แผ่นใบกว้าง 3.5-4.5 ซม. ยาว 5-7 ซม. แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ มักออกใบหนาแน่นเป็นร่มเงาได้อย่างดี

          ดอก : ออกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด คล้ายช่อพริกไทย จะออกตามซอกใบใกล้ยอดและปลายกิ่ง แยกเพศกันอยู่คนละต้น ยาว 1-2 ซม. ดอกมีขนาดเล็กสีขาวอมเหลือง มักจะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน

          ผล : ผลหมากเม่ามีขนาดเล็กเป็นพวง ภายใน 1 ผลประกอบด้วย 1 เมล็ด ผลดิบสีเขียวอ่อนหรือเขียวเข้ม มีรสเปรี้ยว พอสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและม่วงดำในที่สุด ผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยวปนฝาดเล็กน้อย

          ระยะเวลาออกดอกและติดผล : ออกดอกและติดผลช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ผลสุกช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน


แหล่งเพาะปลูก

          หมากเม่าพบได้ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทยมักพบตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และตามหัวไร่ปลายนา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบได้มากที่เทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร นิยมขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง

คุณประโยชน์

          ผลมะเม่าสุกมีปริมาณสารอาหาร วิตามิน กรดอินทรีย์ และกรดอะมิโนที่จำเป็นหลายชนิด และเมื่อนำผลมะเม่าสุกมาทำการวิเคราะห์ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกสารแอ นโทไซยานินและสารกลุ่มโพลีฟีนอล พบว่า น้ำมะเม่า 100 กรัม มีสารแอนโทไซยานิน 299.9 มิลลิกรัม และสารโพลีฟีนอล 566 มิลลิกรัม ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ชะลอความแก่ชรา ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดอุดตันในสมอง และช่วยยับยั้งไม่ให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมหรือเปราะง่ายอีกด้วย

          การวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ศูนย์ทดสอบและมาตรวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) พบว่าคุณค่าทางด้านโภชนาการของน้ำคั้นจากผลมะเม่า 100 กรัม ประกอบด้วย

สารอาหาร
 ปริมาณ
 ไขมัน
 0.77 กรัม
 โปรตีน 
 0.19 กรัม
 ความชื้น
 92.7 กรัม
 คาร์โบไฮเดรต          
 5.99 กรัม
 เส้นใย
 0.02 กรัม
 วิตามินบี 1
 0.221 มิลลิกรัม
 วิตามินบี 2
 0.113 มิลลิกรัม
 วิตามินอี
 0.13 มิลลิกรัม
 แคลเซียม
 126.35 มิลลิกรัม
 เหล็ก
 0.70 มิลลิกรัม



          กากมะเม่าหลังจากการคั้นน้ำยังคงอุดมด้วยสารที่มีประโยชน์ ได้แก่ สารประกอบฟีนอลิก ฟลาโวนอยด์ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เป็นต้น

          นอกจากนี้ ยังพบว่ามะเม่ามีศักยภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันและมีฤทธิ์ต้านเชื้อเอชไอวี (กัมมาล และคณะ, 2546)

ตำรายาไทย

          ใบและผล : ต้มน้ำอาบ แก้อาการซีดเหลือง โลหิตจาง

          ใบ : ทาแก้ปวดศีรษะ แก้โรคผิวหนัง ใบสดนำมาอังไฟประคบแก้อาการฟกช้ำดำเขียว

          ผล : ทำยาพอก แก้ปวดศีรษะ แก้ช่องท้อง บวม ใช้ผสมน้ำอาบแก้อาการไข้

          ต้นและราก : แก้กษัย บำรุงไต ขับปัสสาวะ แก้ตกขาว แก้ปวดเมื่อย

          * ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการเกษตร, 2550 ; วุฒิ วุฒิธรรมเวช, 2540 อ้างอิงโดย สำนักหอสมุดและสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2550


น้ำมะเม่าพร้อมดื่ม

     ส่วนผสม

          น้ำมะเม่า 2 ถ้วยตวง
          น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
          น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
          เกลือป่นเล็กน้อย

     ขั้นตอนการทำ

          1. นำมะเม่ามาล้างทำความสะอาด คั้นนาและกรองแยกกาก
          2. นำส่วนผสมมาผสมให้เข้ากัน ปรับแต่งรสชาติตามชอบ แช่เย็นก่อนดึ่ม

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
หมอชาวบ้าน
โดย สุภาภรณ์ เลขวัต, อุบลวรรณา ศรีมงคลลักษณ์ ฝ่ายเทคโนโลยีอาหาร สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
http://health.kapook.com/view90125.html

Friday, August 26, 2016

น่ารักจัง ! คุณแม่จับหนูน้อยแต่งคอสเพลย์ ก่อนถ่ายภาพเวลาลูกหลับ



น่ารักจังเลย เมื่อคุณแม่ Laura Izumikawa Choi ช่างภาพมืออาชีพ จับหนูน้อยวัย 4 เดือน มาแต่งคอสเพลย์ในระหว่างที่ลูกกำลังหลับ ก่อนถ่ายภาพน่ารัก ๆ อย่างที่เห็น



โพสต์โดย minifeed เมื่อ 26 ส.ค. 59 10:54:12
เครดิตจาก : http://virallay.com/sleeping-baby-has-no-idea-she-becomes-the-star-of-cosplay-during-her-naps/
http://world.kapook.com/pin/57bfbd644d265a231d8b4567