เอาหละ สูตรนี้สำหรับคนที่ไม่ชอบออกกำลังกาย บอกไว้ก่อนว่า จะช้ากว่าการที่เราออกกำลังกายไปด้วยเยอะ
แต่ยังงัยก็ยังดีกว่า ไม่ออก แล้วกินเหมือนเดิมอยู่ดี
หลาย
คนอยากลด นน. แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ตอนไหน เพราะเห็นว่าการลดน้ำหนัก เป็นเหมือนงานหนักๆชิ้นนึง
เริ่มแล้วต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด.. ก็เลยไม่ได้เริ่มซะที
วันนี้
เรามีวิธีที่จะทำให้ได้เริ่มลดน้ำหนักได้เลย ไม่ต้องรอเวลาว่างๆ รอปิดเทอม รอเปิดเทอม
รออ้วนขึ้น รออกหัก รอเงินเดือนออก รอวันตาย X'(
ก่อนอื่นขอบอกว่าการลดน้ำหนักที่จะส่งผลดีในระยะยาว คือ การค่อยๆ ลด แล้วการเปลี่ยนนิสัยการกิน
ไม่ใช่การลดแบบที่ภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่า 'crash' ที่แปลว่าการชน
หรือ เร่งรัด ซึ่งจะทำให้เราทรมาน หมดกำลังใจและท้อแท้ หรือไม่ก็ ไม่ได้เริ่มซะที
เอาล่ะ
มาเริ่มเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตกันก่อนดีกว่า ปรับวันละนิดชีวิตแจ่มใสน๊ะจ๊ะ ;')
*เริ่มจากข้อที่ง่ายสุดเลยละกัน จะได้ไม่ต้องคิดหนักที่จะเริ่ม:
- กินข้าวให้ตรงเวลาและครบมื้อ
อย่างดข้าวเช้า หรือข้าวเที่ยง หรือข้าวเย็น ใช่! ฟังไม่ผิดจร้า ข้าวเย็นก็กินๆไปเถอะ
ข้าวเช้าสำคัญมาก ถ้าไม่กินสมองจะไม่ได้รับสารอาหารนานเกิน เกิดอาการสมองทำงานช้า คิดไรไม่ออก
เพราะไม่งั้นจะหิว แล้วพอเราหมดความอดทน เราก็จะแปลงกลายเป็นปีศาจตู้เย็น
ล้างผลาญทุกอย่างที่มีอยู่ในตู้เย็น.. ถ้าเรากินข้าวไม่ตรงเวลา รอกินตอนหิวจัดๆ จะทำให้เรากินเยอะเป็นสองเท่าหรือไม่ก็กินแบบไม่แคร์โลก
สวาปาม งั่มๆๆๆๆ ซึ่งการกินทีละเยอะๆไม่ใช่เรื่องดี
เพราะร่างกายเราจะเอาไปใช้ได้ไม่หมด ที่เผาผลาญไม่หมดก็เก็บเป็นไขมัน
-มาม่า< อาหารยอดนิยมชาววัยทีน
ที่ไร้ค่าไร้ประโยชน์ มีแต่แป้งและไขมันกับชูรส
ถ้าอยากสุขภาพดี
บอกเลิกคุณมาม่าได้เลย หรือถ้าชอบมาก นานๆๆๆๆ กินทีไม่เป็นไร
เวลากินก็ใส่ผักไปด้วยเยอะๆ ไข่ด้วยนะ
ร่างกายเราต้องการอาหารครบ
5 หมู่.. มาม่าให้ได้แค่แป้งและไขมัน
-เคี้ยวให้ช้าลง
แค่เคี้ยวช้าลง ก็ผอมได้นะ เพราะจะทำให้เราอิ่มเร็วขึ้น และรู้ว่าอิ่มตอนไหน ควรจะพอตอนไหน
ไม่กินเพลินเกินเลยไป แล้วจุก แน่นท้องทีหลัง
แถมยังทำให้ร่างกายดูดซับสารอาหารได้มากขึ้นด้วย
เนื่องจากอาหารที่เข้าไปละเอียดกว่า
ก็จะดูดซึมและเอาไปใช้งานได้ง่ายกว่าอาหารหยาบๆ
- กินอาหารต้มๆ นึ่งๆ เพิ่มขึ้น แล้วลดอาหารทอดๆ ผัดๆ
เรามักจะได้ปริมาณน้ำมันมาแบบเนียนๆไม่รู้ตัวจากอาหารทอด อยากรู้ว่าเยอะแค่ไหน ลองทอดไข่เจียวแล้วใส่น้ำมันประมาณครึ่งแก้วดูสิ
พอไข่สุก น้ำมันบนกระทะแทบไม่เหลือเลย มันหายไปไหนละ? ก็ไปซ่อนอยู่ในไข่ไง ^0^ !
-เปลี่ยน จากการกินขนมขบเคี้ยวแบบมันฝรั่งทอดกรอบ
สาหร่ายเฒ่าแก่น้อยแสนเพลิน คุกกี้หงั่มแหง่งงง >o< มากินพวกผลไม้แห้งเป็นขนมแทนเวลาเหงาปาก
เช่น ลูกเกด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ (แนะนำ) ฝรั่ง สตอร์เบอรี่อบแห้ง แม้ผลไม้แห้งจะไม่ช่วยให้ผอม
แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าขนมพวกนั้น มากกก! (แต่สำหรับคนที่ใจแกร่งแข็ง
ตั้งใจจะลด นน.จริงจัง ก็ เลิกมันไปเลย ไม่ต้องกินสักอย่าง *w*)
พวกขนมกรอบๆ พวกเนี้ยตัวดีสุดยอด เพราะน้ำมันเยอะสุดๆ ซุปเปอร์เลย แถมกินแล้วยังไม่อิ่มอีกตังหาก
ก็ต้องไปกินอย่างอื่นเพิ่มอีก แถมยังมีแต่ชูรสทั้งนั้นนน
-กินน้ำมากขึ้นวันละแก้ว
ค่อยๆ
เพิ่มทีละแก้วๆ จากปริมาณที่กินอยู่ จนให้เกิน 2 ลิตร
ต่อวันให้ได้, แต่อย่ากินทีเดียวเยอะๆนะ
ร่างกายจะขับออกมาหมด ให้ค่อยๆ จิบไป แต่กินบ่อยๆ วิธีที่ได้ผลดีคือพกขวดน้ำ
หรือกระติก ที่เรารู้ว่ามันมีปริมาณน้ำเท่าไหร่ เช่น: เรากินทีละ 600 ml (ขวดพวกเนสเล่ น้ำทิพย์ ไซส์กลาง) ก็ถือขวดไปทุกที่ที่เราไป
นึกขึ้นได้ก็ดื่มๆ วันนึงกินสี่ขวด ก็ครบสองลิตรละ แต่กว่าจะครบได้ไม่ได้ครบทันทีนะ
ก็ค่อยๆเพิ่มไปนั่นแหละ เมื่อก่อนเป็นคนกินน้ำน้อยมาก บางทีวันนึงไม่ถึง 600
ลิตรด้วยซ้ำ ทำให้ผิวแห้ง ปากแตก
การกินน้ำเป็นการทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายเราทำงานดีขึ้น
แถมยังเป็นการ detox ด้วย สิวก็จะลดด้วย
-เพิ่มผักและโปรตีน ลดแป้งและไขมัน
วิธีง่ายๆ ที่จะรู้ว่าเรากินอะไรกี่ส่วนก็ เอาจานกลมๆ มา ใส่อาหารที่เป็นผักล้วนไป 1/4 ของจาน เพราะมันทำให้เราอิ่มและไร้ไขมัน (แต่เอาไปใช้เป็นพลังงานได้น้อยมาก
เพราะฉะนั้นห้ามกินแต่ผักนะ) ใส่โปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ (ไก่ไขมันต่ำสุดรองจากปลา
และโปรตีนเยอะ) ถั่วต่างๆ ฯลฯ 2/4 และอาหารพวกแป้งๆ 1/4
พอ เพราะ carbohydrate มีแฝงอยู่ในแทบจะทุกอย่างอยู่แล้ว
มีการทดลองออกมาแล้วว่า
ผู้ที่กินโปรตีนเป็นส่วนใหญ่ของมื้ออาหารต่อวัน
ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่กินคาร์โบไฮเดรทเป็นส่วนใหญ่
- เวลาสั่งข้าวผัดหรือาหาร อย่าสั่งไข่ดาวเพิ่ม *ช่วยได้มากกก
เพราะไข่ดาวฟองนึงให้แคลอรี่มากพอๆ กับข้าวจานนึงเลยนะ ไข่ดาวมันดูดน้ำมันไปมากกก คนส่วนใหญ่ไม่รู้
และไม่สังเกตุ น้ำมันในไข่ดาวมันซ่อนๆ อยู่ในตัวไข่นั่นแหละ ทำให้เราได้รับปริมาณน้ำมันมหาสารโดยไม่รู้ตัว
- ลดปริมาณซอสพริก ซอสมะเขือเทศ ที่เราบีบเข้าไปในอาหารแต่ละมื้อโดยไม่รู้ตัวว่ามันคือน้ำตาล
ทั้งน้านนน !! คนส่วนใหญ่มองข้ามตรงนี้ไปเพราะคิดว่านิดเดียวไม่เป็นไร แต่ถ้าลด
และ งดได้ จะช่วยได้มากเลยแหละ
-ทดแทนน้ำอัดลม หรือน้ำหวานอร่อยๆ ที่ไร้สาระ ด้วยน้ำผักและผลไม้แทน
น้ำตาลที่ผักและผลไม้ให้ แน่นอนว่าน้อยกว่าอยู่แล้ว แถมยังเป็นน้ำตาลที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายกว่าน้ำตาลจากพวกน้ำอัดลมด้วย เพราะฉะนั้นก็อ้วนน้อยกว่าแถมยังได้ประโยชน์มากกว่า
-เวลากินโอวัลติน กาแฟ ลดน้ำตาลให้น้อยลง หรือแทนด้วยน้ำผึ้ง
เครื่องดื่มพวกนี้แหละตัวดีเหมือนกันนะ เพราะโฆษณาชอบชวนเชื่อว่ากินโอวันตินวันละแก้ว
สดใสแข็งแรง หารู้ไม่ว่ามันมีแต่น้ำตาล =_= ประโยชน์ที่จะได้จริงๆ น้อยมาก
นอกจากความเพลิดเพลินทางอารมณ์ตอนกินอ่านะ
หรือ
ถ้าเป็นคนชอบดื่มเป็นชีวิตจิตใจ ลองทดแทนน้ำตาลด้วยน้ำผึ้งดูสิ น้ำผึ้งให้ความหวานโดยอ้วนน้อยกว่าน้ำตาลอ้อย
นอกจากนั้นยังทำให้นอนหลับสบาย คลายเครียดด้วย
-chocolate
สุดโปรดตัวดีด้านไขมันและน้ำตาล
ลดๆๆๆๆๆๆ
หรือกิน dark 97% แทน
-ลองเปลี่ยนจากการดื่มนมวัว มาเป็นนมถั่วเหลืองแทนสิ รับรองว่าพุงหายน๊ะจ๊ะ
เพราะในนมวัวมีน้ำตาล lactose ที่ร่างกายเรามีน้ำย่อยสำหรับน้ำตาลชนิดนี้อยู่น้อยมาก
และเมื่ออายุมากขึ้นๆ น้ำย่อยเราก็จะเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ จนทำให้เกิดอาการท้องอืด
ท้องเฟ้อ อาหารย่อยยาก ตัวบวม แก๊สในกระเพาะอาหาร จนบางครั้งเกิดอาการ ภาวะกรดไหลย้อน
ทำให้รู้สึกอ่อนล้า ภูมิต้านทานลดลง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อยสลายน้ำตาลแล็กโตสไปใช้เป็นพลังงานได้หมด เกิดการหมักของเชื้อยีสต์กลายเป็นแก๊สจำนวนมาก ทำให้ลำไส้ขยายตัวจนหน้าท้องยื่น
(ทดลองมาแล้วกับตัวเอง งดทุกอย่างที่ทำจากนมมาได้สี่วันแล้ว พุงลดไปเยอะเลย
ไว้อาทิตย์หน้า มาโพสขนาดที่ชัดเจนแน่นอนเน้ออ :)
-กิน เจ วิธีนี้สำหรับคนที่มีปัญหาสิวด้วย (ลองแล้วกับตัวเอง) เพราะในเนื้อสัตว์นั้น
มีไขมันอยู่มาก ถ้าเราบอกลาเนื้อสัตว์ (พวกเนื้อแดงเช่นหมูและวัว) ได้
เราจะผอมลงเป็นกองเลย แต่อย่าลืมทานโปรตีนทดแทนจากที่อื่นเยอะๆ นะ
ไม่งั้นอาจอ่อนเพลียได้
-กินให้ได้ 500 แคลอรี่น้อยกว่าที่เราเผาผลาญ ถ้าเผาผลาญ
2000 กิน 1500 << (แค่ลองไม่กินขนมเลยดูสิ
แค่นี้ก็ได้แล้ว)
อ่ะ
ไว้แค่นี้ก่อนนะ ที่เขียนมาเป็นวิธีต่างๆ ที่ไม่ต้องทำตามทีเดียวหมดก็ได้ แค่เริ่มปรับๆไป
อาทิตย์ละข้อก็ได้ แค่นิสัยการกินเราเปลี่ยน เราก็จะผอมไปตลอด
แต่ถ้าเราแค่ไดเด้ทไดอด แต่ไม่เปลี่ยนนิสัยการกิน เราก็จะผอมแค่ชั่วคราว :'D
by
bai-carrot
http://bai-carrot.exteen.com/20110510/entry
No comments:
Post a Comment