Saturday, April 16, 2016

ลูกเป็นเด็กอ่อนไหว..ทำอย่างไรดี



     ในสังคมทุกวันนี้ เราจะสามารถพบเห็นเด็กอ่อนไหว ไวต่อความรู้สึก (Highly sensitive child) ได้ไม่ยากนัก จากการศึกษาวิจัยนั้นพบได้ถึงร้อยละ 15-20 ของเด็กทั่วไปเลยทีเดียว เด็กซึ่งอ่อนไหวมักไวต่อการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า และอ่อนไหวต่อความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ปัญหาสำคัญของพ่อแม่ก็คือต้องพยายามหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นเด็ก ซึ่งอาจทำให้เด็กอ่อนไหวรู้สึกเครียดได้ ดังนั้น การเลี้ยงดูเด็กซึ่งอ่อนไหว จึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ครับ

รู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็นเด็กอ่อนไหว

          เด็กกลุ่มนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับระบบประสาทซึ่งไวต่อ การตอบสนองกับทุกสิ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไวต่อการรับรู้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแม้เพียงเล็กน้อย นอกจากนี้เด็กกลุ่มนี้ยังไวต่อสิ่งกระตุ้นซึ่งเปลี่ยนแปลงไปแม้เพียงเล็ก น้อย นอกจากนี้เด็กกลุ่มนี้ยังไวต่อสิ่งกระตุ้นซึ่งรุนแรง และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงอารมณ์เครียดของผู้อื่นอีกด้วย เด็กอ่อนไหวจึงอาจแสดงพื้นฐานอารมณ์ออกมาได้ทั้ง 2 ประเภท คืออาจเป็นเด็กเลี้ยงยาก เครียดง่าย อารมณ์รุนแรง ในขณะที่บางคนอาจเงียบ เก็บตัว ปรับตัวยาก หากพบกับคนซึ่งไม่คุ้นเคย อย่างไรก็ตามเด็กกลุ่มนี้ทุกคนจะไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และสภาพแวด ล้อมซึ่งเปลี่ยนไป

          ต่อไปนี้เป็นลักษณะของเด็กอ่อนไหว ซึ่งมาจากแบบสอบถามพ่อแม่ (ไม่จำเป็นต้องมีอาการครบทุกข้อ)

        
* ตื่นเต้น ตกใจง่าย

        
* บ่นรำคาญ เสื้อผ้าที่ใส่ไม่สบาย ตะเข็บถุงเท้า หรือป้ายติดยี่ห้อที่คอเสื้อ

        
* ไม่ชอบเมื่อถูกทำให้ตื่นเต้นหรือประหลาดใจ

        
* จะเรียนรู้ได้ดีกว่าหากใช้วิธีการแนะนำอย่างนุ่มนวล แต่มักไม่ได้ผล หากใช้วิธีการลงโทษรุนแรง

        
* มักจะพยายามอ่านใจ เดาใจพ่อแม่

        
* ใช้คำพูดเกินวัย พูดเหมือนเป็นผู้ใหญ่

        
* สังเกตได้ถึงแม้กลิ่นที่ผิดปกติไปเพียงเล็กน้อย

        
* มีอารมณ์ขัน

        
* มีความสามารถในการหยั่งรู้บางสิ่งบางอย่างเองได้

        
* เข้านอนยาก หลังผ่านเหตุการณ์ตื่นเต้นในวันนั้น

        
* ไม่ยอมทำหรือเปลี่ยนแปลงอะไรให้ดี ๆ ตั้งแต่แรก

        
* เปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อย ๆ ถ้าเสื้อผ้าเปียกชื้น หรือเลอะดินทราย

        
* ชอบถามคำถาม

        
* คาดหวังความสมบูรณ์พร้อม (perfectionist)

        
* ช่างสังเกตในอารมณ์ผิดปกติของผู้อื่น

        
* ชอบเล่นเงียบ ๆ คนเดียว

        
* ถามคำถามที่ซับซ้อนและชวนให้คิด

        
* อ่อนไหวมากต่อความเจ็บปวด

        
* เบื่อหน่ายสถานที่อึกทึก หรือมีคนพลุกพล่าน

        
* ช่างสังเกตถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น สิ่งของที่ถูกเคลื่อนย้ายไป หรือการเปลี่ยนแปลงของคนรอบตัว

        
* ระมัดระวังว่าตนเองต้องปลอดภัย หากต้องปีนที่สูง

        
* ผลงานจะดี ถ้าไม่มีคนแปลกหน้าอยู่ด้วย

        
* มีอารมณ์ลึกซึ้งกับทุกเรื่อง

อาจถูกเข้าใจผิด

          ลักษณะเฉพาะดังกล่าวของเด็กอ่อนไหวอาจทำให้คุณพ่อ คุณแม่ คุณครูหรือแม้แต่นักจิตวิทยาบางคน เข้าใจลักษณะทางอารมณ์เช่นนี้ว่าเป็นผลมาจากความผิดปกติบางอย่าง เช่น ถูกมองว่าเป็นเด็กขี้อาย ขี้กลัว เป็นเด็กมีปัญหาพฤติกรรม หรือบางรายอาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นเหตุปัจจัยเนื่องมาจากความอ่อนไหว ไวต่อความรู้สึกของเขานั่นเอง และหากเรามองลึกลงไปในจิตใจอันอ่อนไหวของเด็ก ๆ เหล่านี้ อาจจะพบลักษณะว่ามีจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจ และความเอื้ออาทรต่อผู้อื่นซ่อนอยู่ เราจึงมีความจำเป็นต้องเลี้ยงดูเด็กอ่อนไหวด้วยความเข้าใจในตัวเขา เข้าใจพฤติกรรมการแสดงออกของเขา รวมไปถึงชื่นชมสิ่งดี ๆ ในตัวเขา ไม่เช่นนั้นแล้ว เด็กกลุ่มนี้อาจเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีโอกาสจะซึมเศร้า หรือวิตกกังวลได้ง่าย หรือกลายเป็นคนขี้อาย และเมื่อเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว หลายคนมักไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อีก

จะช่วยได้อย่างไร

          เราจะสามารถช่วยเหลือเด็ก ๆ ซึ่งอ่อนไหว ไวต่อความรู้สึก ได้ด้วยหลักการ ดังต่อไปนี้

          **
ให้เวลาปรับตัว เด็กซึ่งอ่อนไหวง่าย ไม่ว่าจะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิงนั้นมักต้องการมีโลกส่วนตัว เด็กเหล่านี้มักชอบเล่นคนเดียว และต้องการพื้นที่เป็นอิสระส่วนตัว หลังกลับจากเลิกเรียนหรือกลับจากเข้าค่าย เด็กซึ่งอ่อนไหวง่ายมักต้องการเวลาพัก คุณพ่อคุณแม่ควรหาเวลาให้ลูกได้ผ่อนคลาย

         
** หลีกเลี่ยงฝูงชน เด็กอ่อนไหวทุกคนจะไม่ชอบที่ ๆ มีคนมาก ๆ ฝูงชนอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กซึ่งอ่อนไหวอยู่แล้ว เกิดอาการหงุดหงิดได้ง่าย ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ซึ่งมีคนพลุกพล่าน สถานที่ซึ่งมีแสงสว่างจ้า หรือแม้แต่ภาพยนตร์ซึ่งมีเนื้อหารุนแรง บางครั้งบางคราวคุณพ่อคุณแม่อาจใช้วิธีรอจังหวะเวลาซึ่งคนไม่พลุกพล่าน หลีกเลี่ยงเวลาเร่งด่วน หรือช่วงเวลาใกล้มื้ออาหารหลัก ซึ่งมักมีคนพลุกพล่านมาก ๆ

         
** เปิดโอกาสให้สัมผัสธรรมชาติและสิ่งที่สวยงาม การชักนำลูกซึ่งอ่อนไหวไปสัมผัสธรรมชาติ และเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ จะช่วยให้เด็กมีอารมณ์ดีขึ้น ตัวอย่างธรรมชาติอันสวยงามก็เช่น น้ำตก ทะเล

         
** เปิดความคิดสร้างสรรค์ เด็กซึ่งอ่อนไหวง่ายมักชอบมีความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่อาจเปิดโอกาสให้เด็กได้สัมผัสความคิดสร้างสรรค์ผ่านงานศิลปะ การร้องเพลง วิดีโอเกมที่สร้างสรรค์หรือกิจกรรมอื่นใดซึ่งลูกหลานมีความถนัดอยู่แล้ว

          **
เล่นกับลูกบ่อย ๆ เด็ก ๆ กลุ่มนี้ อ่อนไหวต่อการสร้างสัมพันธ์กับผู้คนซึ่งอยู่แวดล้อมตัวเขา รวมไปถึงคนซึ่งใช้เวลาร่วมกับเขาเป็นประจำ นักจิตวิทยาพบว่าเด็กอ่อนไหวซึ่งใช้เวลาเล่นกับพ่อแม่บ่อย ๆ จะมีอารมณ์และความรู้สึกซึ่งมั่นคงกว่า มีความเชื่อมั่นในตนเองมากกว่า และสามารถเผชิญอุปสรรคได้ดีกว่า

          **
เปิดโอกาสให้เลือก การให้โอกาสเด็กได้เลือก หรือให้ตัวเลือก ตัวอย่างเช่น การที่คุณพ่อคุณแม่จะเรียกลูกเข้านอน อาจเปิดโอกาสให้เลือกเช่น "เอาล่ะ ถึงเวลานอนแล้วลูก ถ้าลูกอยากมีเวลาอ่านนิทาน ก่อนนอนสัก 20 นาที ลูกก็ควรรีบไปอาบน้ำ แปรงฟันเดี๋ยวนี้"

         
** สร้างความภาคภูมิใจในตนเอง พยายามสร้างสรรค์ความภาคภูมิใจในตนเอง ลดความรู้สึกอับอาย ใช้การควบคุมกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัยอย่างชาญฉลาด รวมไปถึงสอนให้เด็กรู้วิธีที่จะพูดคุยถึงความอ่อนไหว ไวต่อความรู้สึกของตัวเอง

         
** สอนลูกให้รู้จักความสุข เด็กอ่อนไหวต้องการให้ผู้ใหญ่ช่วยเหลือด้านอารมณ์หลาย ๆ อย่าง เช่น ช่วยให้เขาสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ รู้จักปลดปล่อยอารมณ์ด้วยวิธีการอันเหมาะสม เสริมสร้างความมั่นคงทางจิตใจ เช่นเดียวกันกับรู้จักแสวงหาความสุข และคนซึ่งจะเป็นครูสอนวิชาแห่งความสุขที่ดีที่สุดก็คือคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง ครับ

          เด็กซึ่งอ่อนไหว ไวต่อความรู้สึกนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ เลี้ยงดูอย่างเหมาะสมและเปลี่ยนมุมมองใหม่ ให้ความเข้าใจ พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ในขณะเดียวกันก็พยายามเสริมสร้างคุณค่าในตัวเองให้ลูก เด็กเหล่านี้ก็จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ซึ่งปกติและมีความสุข มีความคิดสร้างสรรค์ได้ บางทีการที่เด็กคนหนึ่งอ่อนไหว ไวต่อความรู้สึกนั้น อาจเป็นสิ่งมีค่าสำหรับโลกเราก็เป็นไปได้ครับ



เรื่อง : นพ.กมล แสงทองศรีกมล กุมารแพทย์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
แหล่งที่มา  M&C แม่และเด็ก, http://baby.kapook.com
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/561824122239126186/

Monday, April 11, 2016

6 เรื่องเสี่ยง ! ช่วงปิดเทอมของลูกวัยซน

 
ภัยใกล้ตัวลูกใน ช่วงปิดเทอมมีให้เห็นและออกข่าวกันอยู่บ่อย ๆ และภัยอันดับต้น ๆ ก็เห็นจะเป็นข่าวเด็ก ๆ จมน้ำค่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมมีเรื่องน่ารู้ที่จะมาย้ำเตือนคุณพ่อคุณแม่เฝ้าระวังลูก ๆ อย่างใกล้ชิดในช่วงปิดเทอม ส่วนจะมีเรื่องอะไรบ้างที่ควรระวัง เราไปดูข้อมูลดี ๆ จากนิตยสาร Mother & Care กันเลยดีกว่าค่ะ

          วันหยุดช่วงปิดเทอม วันที่เด็ก ๆ พักจากเรื่องเรียน ได้เล่น ได้เที่ยว หรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบอีกมุมหนึ่งที่พ่อแม่ไม่ควรมองผ่านคือ ความปลอดภัย ช่วงเวลาที่คุณไม่สะดวกกับการดูแล ทั้งที่บ้านและนอกบ้าน

1. คลอง บึง สระน้ำ
          เป็น สถานที่เกิดอุบัติเหตุจากน้ำ ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตจากการจมน้ำในเด็กเล็กและเด็กโตของบ้านเรา ในเด็กโตพบว่า อายุระหว่าง 5-6 ขวบ มักจมน้ำเสียชีวิตจากบ่อ หนอง คลอง บึง และสระว่ายน้ำในชุมชนหรือหมู่บ้าน และเกิดจากไม่ได้จงใจไปเล่นน้ำแต่ไปวิ่งเล่นบริเวณใกล้แหล่งน้ำ ก็ทำให้เกิดการพลัดตกและจมน้ำ

2. สังคมโซเชียล
          โลก ของการติดต่อสื่อสารในรูปแบบของการแชท ไลน์ นั้นพบว่า ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพกับตัวเด็ก เช่น การใช้สายตา สมาธิ ภาษา และเรื่องจริงที่เป็นข่าวบ้านเราหรือต่างประเทศก็คือ ปัญหาอาชญากรรม เนื่องจากเด็ก ๆ ถูกล่อลวงทางอินเทอร์เน็ตในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้น แนะนำว่า ควรหากิจกรรมครอบครัว ชวนกันเล่น แทนการปล่อยลูกอยู่กับโลกโซเชียลดีกว่า

3. บ้าน-ที่พัก

          ยก ตัวอย่างเรื่องที่อยากให้ระมัดระวังพอสังเขปแล้วกันค่ะ เช่น ระเบียงบ้าน บานหน้าต่างห้อง บันได บ้านไหนมีเด็กวัยซนต้องเอาใจใส่ให้มาก เพราะความซุกซนตามวัยในบางครั้งก็ก่อเรื่องไม่คาดคิดจนเกิดการบาดเจ็บ หรือสิ่งของอันตรายในบ้าน เช่น ไฟแช็ก ไม้ขีด มีด ไม้ ควรจัดเก็บและตรวจตราเรื่องของไฟฟ้าจุดเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตราย ไฟฟ้าดูด ไฟฟ้าช็อต ว่าแล้วรีบสำรวจสิ่งแวดล้อมในบ้านด่วนค่ะ

4. ยานพาหนะ

          ข้อมูล เด็กที่เสียชีวิตจากการจราจร มีถึงปีละ 70 คน โดยเฉพาะช่วงปิดเทอมยอดพุ่งเพิ่มขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยปกติ เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ และสาเหตุที่พบคือ การให้เด็กนั่งซ้อนท้ายจักรยานยนต์ หรือแม้แต่การให้ขับขี่เอง ขณะเดียวกันก็พบว่าผู้ใหญ่คือคนที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น การให้ลูกนั่งซ้อนท้ายจักรยานยนต์ ควรนึกถึงความปลอดภัยทั้งตัวคุณและลูกเป็นสำคัญ

5. สถานที่นอกบ้าน

          เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านเกม คือสถานที่มีเด็กพลัดหลงหาย และถูกขโมยอันดับต้น ๆ เป็นภัยเงียบของสังคมไทย ซ้ำร้ายคือ การลักพาตัวเด็กมีรูปแบบที่หลากหลาย โดยเฉพาะการลักพาเด็กเพื่อเข้าสู่วงจรการค้ามนุษย์ที่มีเครือข่ายเชื่อมโยง ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก การป้องกันที่ทำได้เลยคือ ไม่ควรปล่อยลูกอยู่ตามลำพัง และสอนลูกเรียนรู้เรื่องคนแปลกหน้าการช่วยเหลือตัวเองในกรณีพลัดหลง เป็นต้น

6. เครื่องเล่นนอกบ้าน
          เรื่อง สนุกของเด็ก ๆ หนีไม่พ้นของเล่น และของเล่นที่มีเด็กเล่นด้วยกัน เช่น สนามเด็กเล่น สนามกีฬา หรือบ้านบอลในห้างสรรพสินค้า ฯลฯ คือจุดเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุทั้งจากของที่เล่น เช่น ชิงช้า ม้าโยก ที่ชำรุด หรือกระทบกระแทกกับเด็กที่เล่นด้วยกัน นอกจากนี้การเจ็บป่วยที่ได้รับเชื้อโรคจากสถานที่แออัด ผู้คนอยู่รวมกัน อย่าลืมรับมือเรื่องนี้เวลาพาลูกเล่นสนุกนอกบ้านด้วยนะคะ

          เรื่องบางเรื่องเกิดไม่บ่อย ไม่ใช่เรื่องรุนแรง แต่หากไม่ประมาท สร้างสภาพแวดล้อมรอบตัวลูก น่าจะเป็นวิธีป้องกันที่ดีก่อนเกิดปัญหาค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Mother & Care
Vol.12 No.135 มีนาคม 2559
http://baby.kapook.com/-146044.html
เครดิตภาพ  http://baby.kapook.com/-146044.html

Saturday, April 9, 2016

ประวัติและความสำคัญของชื่อเล่น





          คนไทยสมัยก่อนยังไม่มีชื่อเล่น เนื่องจากมีอยู่ชื่อเดียวที่ตั้งเป็นพยางค์เดียวเรียกกันง่าย ๆ เช่น นายแมว นายดำ นายเปี๊ยก เป็นต้น ชื่อเล่นนี้เพิ่งจะมีขึ้น เมื่อเริ่มรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาในประเทศ สมัยก่อนเจ้านายเบื้องสูงเป็นผู้นำมาใช้ก่อน แล้วต่อมาจึงขยายไปสู่ประชาชนทั่วไป ซึ่งในสมัยนั้นชื่อเล่น ยังเป็นเพียงชื่อเรียกง่ายๆ และเป็นพยางค์เดียวเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันนี้คนไทยเรานิยมตั้งชื่อเล่นควบคู่ไปกับชื่อจริง และชื่อเล่นที่ตั้งก็มักจะมีหลายพยางค์มากขึ้น มีความไพเราะ น่ารัก ทันสมัย เสียจนน่าทึ่งว่า คิดออกมากันได้อย่างไร

          อาจเป็นเพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ผู้คนมีการศึกษาสูงขึ้น มีความรู้กว้างขวางมากขึ้น และความคิดสร้างสรรของคุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ ทำให้มีการคิดค้นชื่อเล่นที่ดีที่สุด และไม่เหมือนใคร เพื่อตั้งให้แก่ลูกน้อยที่เรารักมากที่สุดนั่นเอง จนอาจกล่าวได้ว่า การตั้งชื่อเล่น ถือเป็นงานที่ท้าทายอย่างหนึ่ง ของคนเป็นพ่อเป็นแม่เลยทีเดียว

          ความเป็นจริงในการดำเนินชีวิตของพวกเรานั้น ชื่อเล่นซะอีกที่ผู้คนรู้จักและเรียกขานเรามากที่สุด บางครั้งคนที่รู้จักกันยังไม่รู้จักหรือจำชื่อจริงกันไม่ได้ เสียด้วยซ้ำ และรูปแบบ ความหมาย พลัง หรือบารมีในชื่อเล่นนั้นก็จะกลายมาเป็นภาพลักษณ์ประจำกาย ที่ติดตัวเจ้าของชื่อนั้นตลอดไป ดังนั้น การเอาใจใส่ในการตั้งชื่อเล่น การตั้งชื่อตามตำรามหาทักษา การหลีกเลี่ยงอักษรที่ไม่ทำให้เกิดโทษแก่เจ้าชะตา และมีความไพเราะยามเรียกขานกันนั้น เป็นสิ่งที่ผู้จัดทำเว็บไซต์เห็นว่าสำคัญยิ่ง เพราะชื่อเล่นของเรานั้นเป็นเครื่องหมายแทนตัว จะติดตัวเราไปจนตลอดชีวิต

          หากได้รับการตั้งชื่อให้เป็นมงคลนาม ย่อมเป็นสิริมงคลในชีวิตของเจ้าของชื่อ ดลบันดาลใจให้เจ้าของชื่อนั้นมีมิ่งขวัญอันดี มีความสุข มีความภาคภูมิใจและผลักดันให้นำชีวิตไปสู่สิ่งที่ดี

          ชื่อเล่นอันเป็นสิริมงคล ที่คุณพ่อคุณแม่ผู้ซึ่งรักลูกยิ่งกว่าชีวิต ตั้งใจมอบให้เป็นของขวัญแด่เจ้าตัวน้อย ตั้งแต่ในวินาทีแรกนั้น ถือว่าเป็นสิ่งปรุงแต่งชีวิตที่สำคัญที่สุดสิ่งแรกในชีวิตของมนุษย์เราเลยที เดียว

          ขอให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน ใส่ใจกับการตั้งชื่อเล่นที่สำคัญนี้ไปด้วยกันนะคะ




แหล่งที่มา http://baby.kapook.com, thainickname.com
เครดิตภาพ  https://www.pinterest.com/pin/293296994453929456/