Wednesday, September 30, 2015
น่ารักจัง หนูน้อยแข่งเบสบอลอยู่ แต่จู่ ๆ ก็แวะบอกรักพ่อ ก่อนวิ่งต่อในสนาม
แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วินาทีระหว่างเกมการแข่งขัน แต่พ่อหนูน้อยคน นี้กลับแอบวิ่งปรี่เข้าไปทางโค้ชคุณพ่อพร้อมกับบอกว่า "ผมรักพ่อครับ" ก่อนจะรีบวิ่งต่อในสนามแบบเนียน ๆ น่ารักน่าเอ็นดู เห็นแล้วหลงรักจริง ๆ
Monday, September 21, 2015
โอ้โหเป๊ะเว่อร์ มาดูภาพเด็ก-ตุ๊กตา ที่เหมือนกันราวกับฝาแฝด
เด็กน้อยกับตุ๊กตา ไม่ว่ายังไงก็เป็นของคู่กัน
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า กับบางคู่นี่จะ "คู่" กันได้เป๊ะอย่างกับฝาแฝดแบบนี้
เหมือนอย่างกับแกะเลย
รูปชวนขันแกมเอ็นดูของเบบี๋กับตุ๊กตาคู่เหมือน ที่บรรดาคุณพ่อคุณแม่จากทั่วโลกมาแชร์กันให้ดู บอกเลยว่าเหมือนอย่างกะฝาแฝด เห็นแล้วชักสงสัย ตุ๊กตาผลิตออกมาเพราะมีเด็กน้อยเหล่านี้เป็นต้นแบบหรือเปลี่ยนเนี่ย จะเหมือนแค่ไหนไปดูกัน
รูปชวนขันแกมเอ็นดูของเบบี๋กับตุ๊กตาคู่เหมือน ที่บรรดาคุณพ่อคุณแม่จากทั่วโลกมาแชร์กันให้ดู บอกเลยว่าเหมือนอย่างกะฝาแฝด เห็นแล้วชักสงสัย ตุ๊กตาผลิตออกมาเพราะมีเด็กน้อยเหล่านี้เป็นต้นแบบหรือเปลี่ยนเนี่ย จะเหมือนแค่ไหนไปดูกัน
จ้ำม่ำ แก้มป่อง ผมแกละแบบนี้ คนนี้น้องสาวฝาแฝดหนูเองค่ะ
กำลังชวนเพื่อนฝึกคลานอยู่ค่ะ
ลูกเชร็คตัวจริงนี่ซ้ายหรือขวากันล่ะ ?
แม้แต่ท่านั่งยังเหมือนกันเป๊ะ
ถ้าไม่รู้เหมือนตรงไหน ให้ดูที่พุง อิอิ
อร๊ายยย หลับแก้มย้อยน่าเอ็นดู >.<
เดี๋ยวนะลูก ตกลงนี่ใครนั่งเลียนแบบใครกันแน่ ?
แอ๊ะ เราคล้ายกันมั้ยคะ
ใครว่าหนูแก้มป่อง ไม่จริงนะ เจ้าตุ๊กตานี่ป่องกว่าตั้งเยอะ
เธอเป็นใครอะ ทำไมเอาของของเรามาใช้ล่ะเนี่ย
แม่ขาดูนี่ เหมือนมั้ย ๆ
ตาโตแป๋วแหววถอดแบบกันมาเป๊ะ
คนนี้ฝาแฝดของหนูเองค่ะ
ท่าหลับก็อปกันมาชัด ๆ
ภาพจาก
recreoviral.com
หมายเหตุ คัดมาบางภาพ
Thursday, September 17, 2015
7 พฤติกรรม พ่อแม่ทำร้ายลูก
การเลี้ยงลูกต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะพฤติกรรมบางอย่างของคุณพ่อคุณแม่อาจทำร้ายลูก
ๆ โดยไม่รู้ตัว วันนี้กระปุกดอทคอมมีเกร็ดความรู้ในการเลี้ยงลูกที่ไม่ทำให้บั่นทอนจิตใจ
เด็ก ๆ มาฝากกัน แล้วพ่อแม่ต้องแก้ไขอย่างไร พฤติกรรมพ่อแม่ทำร้ายลูก มีอะไรบ้างไปดูเกร็ดความรู้จากนิตยสาร
Mother & Care กันค่ะ ^^
บางทีเราอาจไม่รู้ตัวหรอกว่าสิ่งที่พูด สิ่งที่ทำ หรือแสดงออกต่อลูกนั้น กลายเป็นพฤติกรรมทำร้ายจิตใจ เมื่อเกิดขึ้นบ่อยครั้งก็ส่งผลต่อบุคลิกภาพของลูกน้อย มาสำรวจกันค่ะ ว่าพฤติกรรมเข้าข่ายยี้มีอะไรบ้าง
1. ไม่ให้ทำ
พูด ง่าย ๆ ก็คือ คุณคือผู้จัดการบริหารทุกสิ่งอย่าง (แม่ทำเอง) โดยที่ลูกไม่ได้มีส่วนร่วมหรือได้ลงมือทำอะไรเลย ซึ่งการทำแบบนี้เท่ากับเป็นการตัดวงจรการเรียนรู้ของเด็กในมิติต่าง ๆ ทำให้ทักษะในการช่วยเหลือตัวเองลดลง ลูกขาดความมั่นใจในตัวเอง เป็นต้น
2. ไม่มีขอบเขต
ก็ คือตามใจลูกทุกอย่าง โดยลืมสิ่งผิดสิ่งถูก อะไรควรไม่ควร ด้วยความคิดที่ว่าลูกยังเด็กผลกระทบคือ เมื่อลูกออกสู่สังคมอยู่ร่วมกับผู้อื่นก็กลายเป็นเด็กปรับตัวยาก เอาแต่ใจตัวเอง ขาดความอดทน มีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นไม่ราบรื่น และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย
3. ไม่ยืดหยุ่น
เพราะ คุณต้องการให้ทุกอย่างดี ถูก (เป๊ะเว่อร์) ตลอด ยิ่งลูกทำไม่ได้ดังใจ ก็โกรธก็ตำหนิ เพียงเรื่องเล็ก ๆ ก็แปลงสารเป็นเรื่องใหญ่ การทำแบบนี้จะทำให้พัฒนาการที่ควรเป็นไปของลูกแย่ลง เพราะด้วยความรู้สึกผิดหวัง รู้สึกว่า ตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีอะไรดี ไม่มีความสามารถ ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจพ่อแม่
4. ไม่ยอมรับความจริง
การ ที่คุณมักวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ ตีตนไปก่อนไข้ ย้ำถามย้ำปฏิบัติกับลูก เช่น ไม่ให้ลูกไปไหนมาไหนกับเพื่อน เพราะกลัวลูกจะได้รับอุบัติเหตุ กลัวลูกจะถูกหลอก ไม่ให้ออกนอกบ้าน กลัวลูกจะไม่สบาย นี่แหละคือปัญหาในอนาคตที่ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กวิตกกังวลได้ง่าย หวาดกลัวจนไม่มีความสุขและขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
5. ไม่ปกป้อง
เรื่อง ความปลอดภัยนั่นเองค่ะ เพราะหลาย ๆ ครั้ง มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น มีสถิติตัวเลขอุบัติเหตุสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการไม่ทันระมัดระวัง เช่น ลืมปิดประตูบ้าน คุยโทรศัพท์จนเพลิน หรือการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กของพ่อแม่เอง อย่าลืมว่า สิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องสำคัญไม่เป็นรองใคร
6. ไม่ชื่นชม
มี แต่คำตำหนิติเตียน คำปรามาสต่าง ๆ เพราะไม่เชื่อว่าลูกจะมีความสามารถทำได้ ไม่เชื่อว่าลูกจะทำสำเร็จ พฤติกรรมที่เอ่ยมา เป็นเหมือนอาวุธที่ทำร้ายจิตใจทำลายความคิดดี ๆ ของลูก ทำให้ลูกของคุณขาดความมั่นใจ ความภูมิใจ บอกเลยว่าแค่คิดก็ผิดแล้วค่ะ
7. ไม่เข้าใจลูก
เพราะ คุณคิดว่า ทำไมลูกทำได้ไม่เก่งเหมือนเด็กคนอื่น ที่จริงแล้วเด็กทุกคนมีตัวตนของตัวเอง มีอุปนิสัย ความสามารถแตกต่างกัน คุณจึงไม่ควรเปรียบเทียบลูก เพราะเป็นการสร้างความรู้สึกต่ำต้อย ด้อยค่าให้เกิดขึ้นกับลูก ผลร้ายที่หนักกว่าคือ อาจทำให้เด็กรู้สึกเจ็บปวด ยอมแพ้ ละความพยายามหรือเกิดความคิดสวนทาง กลั่นแกล้งคู่แข่งของตัวเอง คุณควรชื่นชมในสิ่งที่ลูกเป็น สนับสนุนในสิ่งที่ลูกสนใจหรือชื่นชอบดีกว่าค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
บางทีเราอาจไม่รู้ตัวหรอกว่าสิ่งที่พูด สิ่งที่ทำ หรือแสดงออกต่อลูกนั้น กลายเป็นพฤติกรรมทำร้ายจิตใจ เมื่อเกิดขึ้นบ่อยครั้งก็ส่งผลต่อบุคลิกภาพของลูกน้อย มาสำรวจกันค่ะ ว่าพฤติกรรมเข้าข่ายยี้มีอะไรบ้าง
1. ไม่ให้ทำ
พูด ง่าย ๆ ก็คือ คุณคือผู้จัดการบริหารทุกสิ่งอย่าง (แม่ทำเอง) โดยที่ลูกไม่ได้มีส่วนร่วมหรือได้ลงมือทำอะไรเลย ซึ่งการทำแบบนี้เท่ากับเป็นการตัดวงจรการเรียนรู้ของเด็กในมิติต่าง ๆ ทำให้ทักษะในการช่วยเหลือตัวเองลดลง ลูกขาดความมั่นใจในตัวเอง เป็นต้น
2. ไม่มีขอบเขต
ก็ คือตามใจลูกทุกอย่าง โดยลืมสิ่งผิดสิ่งถูก อะไรควรไม่ควร ด้วยความคิดที่ว่าลูกยังเด็กผลกระทบคือ เมื่อลูกออกสู่สังคมอยู่ร่วมกับผู้อื่นก็กลายเป็นเด็กปรับตัวยาก เอาแต่ใจตัวเอง ขาดความอดทน มีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นไม่ราบรื่น และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย
3. ไม่ยืดหยุ่น
เพราะ คุณต้องการให้ทุกอย่างดี ถูก (เป๊ะเว่อร์) ตลอด ยิ่งลูกทำไม่ได้ดังใจ ก็โกรธก็ตำหนิ เพียงเรื่องเล็ก ๆ ก็แปลงสารเป็นเรื่องใหญ่ การทำแบบนี้จะทำให้พัฒนาการที่ควรเป็นไปของลูกแย่ลง เพราะด้วยความรู้สึกผิดหวัง รู้สึกว่า ตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีอะไรดี ไม่มีความสามารถ ทำอะไรก็ไม่เคยถูกใจพ่อแม่
4. ไม่ยอมรับความจริง
การ ที่คุณมักวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ ตีตนไปก่อนไข้ ย้ำถามย้ำปฏิบัติกับลูก เช่น ไม่ให้ลูกไปไหนมาไหนกับเพื่อน เพราะกลัวลูกจะได้รับอุบัติเหตุ กลัวลูกจะถูกหลอก ไม่ให้ออกนอกบ้าน กลัวลูกจะไม่สบาย นี่แหละคือปัญหาในอนาคตที่ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กวิตกกังวลได้ง่าย หวาดกลัวจนไม่มีความสุขและขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
5. ไม่ปกป้อง
เรื่อง ความปลอดภัยนั่นเองค่ะ เพราะหลาย ๆ ครั้ง มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น มีสถิติตัวเลขอุบัติเหตุสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการไม่ทันระมัดระวัง เช่น ลืมปิดประตูบ้าน คุยโทรศัพท์จนเพลิน หรือการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กของพ่อแม่เอง อย่าลืมว่า สิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องสำคัญไม่เป็นรองใคร
6. ไม่ชื่นชม
มี แต่คำตำหนิติเตียน คำปรามาสต่าง ๆ เพราะไม่เชื่อว่าลูกจะมีความสามารถทำได้ ไม่เชื่อว่าลูกจะทำสำเร็จ พฤติกรรมที่เอ่ยมา เป็นเหมือนอาวุธที่ทำร้ายจิตใจทำลายความคิดดี ๆ ของลูก ทำให้ลูกของคุณขาดความมั่นใจ ความภูมิใจ บอกเลยว่าแค่คิดก็ผิดแล้วค่ะ
7. ไม่เข้าใจลูก
เพราะ คุณคิดว่า ทำไมลูกทำได้ไม่เก่งเหมือนเด็กคนอื่น ที่จริงแล้วเด็กทุกคนมีตัวตนของตัวเอง มีอุปนิสัย ความสามารถแตกต่างกัน คุณจึงไม่ควรเปรียบเทียบลูก เพราะเป็นการสร้างความรู้สึกต่ำต้อย ด้อยค่าให้เกิดขึ้นกับลูก ผลร้ายที่หนักกว่าคือ อาจทำให้เด็กรู้สึกเจ็บปวด ยอมแพ้ ละความพยายามหรือเกิดความคิดสวนทาง กลั่นแกล้งคู่แข่งของตัวเอง คุณควรชื่นชมในสิ่งที่ลูกเป็น สนับสนุนในสิ่งที่ลูกสนใจหรือชื่นชอบดีกว่าค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Mother
& Care, http://baby.kapook.com
เครดิตภาพ http://astore.amazon.com/buy-best-special-price-baby-clothes-special-20/detail/B00001W0J3
Monday, September 14, 2015
น้ำมันมะพร้าว ตัวช่วยสุขภาพดี ที่หลายคนมองข้าม
น้ำมันมะพร้าว น้ำมันที่ให้ประโยชน์อันน่าทึ่งต่อสุขภาพ
นอกเหนือจากการบำรุงความงาม แต่คนส่วนใหญ่กลับมองข้ามไปเสียอย่างนั้น
น้ำมันมะพร้าวที่ถูกบอกต่อกันมาว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันชนิด
อื่น ๆ แต่ก็ยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่า กินแล้วดีจริงหรือ เพราะถึงจะมีสรรพคุณต่อสุขภาพอันน่าทึ่งหลายประการ
แต่ก็ยังเป็นน้ำมันชนิดหนึ่งอยู่ดี หากกินมาก ๆ อาจเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ กระปุกดอทคอมจึงมีคำเฉลยในเรื่องนี้มาให้อ่านกัน
ให้รู้ไปเลยว่า สรุปแล้ว คำร่ำลือที่บอกว่ากินน้ำมันมะพร้าวแล้วดีต่อสุขภาพน่ะ
แท้จริงแล้ว เขากินกันอย่างไร แล้วมีประโยชน์ในด้านไหนบ้าง
น้ำมันมะพร้าว
คืออะไร
น้ำมันมะพร้าวก็คือ
น้ำมันที่ได้จากผลมะพร้าวนั่นเอง โดยนำมาสกัดแยกน้ำมันออกจากเนื้อมะพร้าวด้วยวิธีสกัดเย็น
ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ใช้ความร้อนสูง และไม่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมี น้ำมันที่ได้จึงมีลักษณะใสเหมือนน้ำ
ไม่มีกลิ่นหืน อาจมีชิ้นเนื้อมะพร้าว และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมะพร้าวปนมาด้วย เพราะเหตุนี้เอง
น้ำมันมะพร้าวจึงมีชื่อเรียกหลายชื่อ ทั้งน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์
(Extra Virgin Coconut Oil) น้ำมันมะพร้าวบีบเย็น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สกัดเย็น
น้ำมันมะพร้าวเป็นของเหลวก็จริง
แต่ก็สามารถกลายสถานะเป็นของแข็งได้ โดยน้ำมันมะพร้าวจะมีสถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิสูงกว่า
25 องศาเซลเซียส และกลายสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่า
25 องศาเซลเซียส แต่เราสามารถทำให้มันเป็นของเหลวได้อย่างง่ายโดยใช้ความร้อนเพียงเล็กน้อย
ในน้ำมันมะพร้าวนั้นประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว
(มากกว่า 90% จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด)
แต่กรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ที่พบในน้ำมันมะพร้าว เป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลปานกลาง
(medium chain fatty acid)
สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวที่มีต่อสุขภาพ
มาดูกันว่าในน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นนั้นแฝงไว้ด้วยประโยชน์สุขภาพในเรื่องใดบ้าง
1. กินแล้วไม่อ้วน
น้ำมัน มะพร้าวให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันชนิดอื่น
นั่นคือ 8.6 กิโลแคลอรีต่อกรัม ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นให้พลังงานถึง
9 กิโลแคลอรีต่อกรัม มีกรดไขมันอิ่มตัวที่ไม่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระและไขมันทรานส์
น้ำมันมะพร้าวช่วยเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึมนานถึง 24 ชั่วโมง ทำให้อาหารหรือปริมาณแคลอรีถูกนำไปเผาผลาญมากขึ้น
ไม่เหลือเป็นแคลอรีส่วนเกิน ที่จะถูกสะสมเป็นไขมันส่วนเกิน
2. กระตุ้นการขับถ่าย
น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสายปานกลาง
ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของลำไส้ใหญ่ จึงช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
สำหรับคนที่กินน้ำมันมะพร้าวในระยะแรกอาจมีอาการท้องเสีย ถือว่าเป็นอาการปกติ
แต่ถ้าหากกินไปสักระยะแล้วยังมีอาการท้องเสียอยู่ ควรหยุดทาน
เพราะน้ำมันมะพร้าวอาจไม่เหมาะกับธาตุในร่างกาย
3. บำรุงกำลัง
น้ำมันมะพร้าวนั้นกินแล้วย่อยง่าย
ร่างกายดูดซึมไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญได้ทันที อีกทั้งกินแล้วอิ่มนาน จึงทำให้ร่างกายมีกำลังเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ
ซึ่งไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ด้วยเหตุนี้ น้ำมันมะพร้าวจึงถูกนำไปบำรุงกำลังแก่นักกีฬาทั้งแบบชงดื่ม
และแบบแท่ง รวมถึงเป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุด้วย
4. ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อม
น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว
(LDL) และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกลุ่มเสื่อมต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคตับ และโรคไต
5. บำรุงกระดูก
สารอาหารในน้ำมันมะพร้าวนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อความแข็งแรง
ของกระดูก ได้แก่ แคลเซียม และแมกนีเซียม จึงช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก ไม่ให้เปราะ
แตกหักง่าย
6. บำรุงครรภ์
น้ำมันมะพร้าวถือว่าเป็นอาหารที่ดีต่อคุณแม่และทารกน้อยในครรภ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากคุณแม่รับประทานน้ำมันมะพร้าวในช่วงตั้งครรภ์ ก็จะช่วยให้ทารกมีภูมิคุ้มกันที่ดี
และเป็นการเพิ่มคุณค่าของน้ำนมแม่อีกด้วย เพราะในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก ซึ่งเป็นกรดไขมันที่พบได้ในน้ำนมแม่
นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียม ที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
รวมทั้งป้องกันภาวะกระดูกพรุน หรือการสูญเสียแคลเซียมของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์อีกด้วย
7. ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น
ในน้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก
กรดคาปริก และกรดคาปริลิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลาย การรับประทานน้ำมันมะพร้าวติดต่อกันทุกวันในปริมาณเพียงเล็กน้อยจะช่วยให้
คุณนอนหลับได้สนิทขึ้น และยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ลดความเครียด
และอาการอ่อนเพลียได้ด้วย
8. ลดการอักเสบและติดเชื้อ
น้ำมันมะพร้าวสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง
ๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อได้ เพราะกรดลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะถูกเปลี่ยนเป็น
สารมอโนลอริน (monolaurin) มีคุณสมบัติสร้างภูมิคุ้มกัน
และมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรีย ถือเป็นเป็นทั้งยาปฏิชีวนะธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากการติด
เชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่เริม คางทูม เจ็บคอ
9. บำรุงสุขภาพในช่องปาก
น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก
อันเป็นสาเหตุให้เกิดคราบพลัคที่จะนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ภายในช่องปาก เช่น เหงือกอักเสบ
เหงือกช้ำ บวม แดง หรือเลือดออกตามไรฟัน รวมถึงอาการติดเชื้อบริเวณลำคอด้วย วิธีใช้คือนำน้ำมันมะพร้าวมาอมบ้วนปากครั้งละ
1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 1 ครั้ง
10. ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
น้ำมัน มะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงถึงร้อยละ
92 ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย
และยังมีวิตามินไบโอที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง
เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งผิวหนัง
น้ำมันมะพร้าว มีข้อเสียไหม
ตามกลไกของร่างกายแล้ว
การกินน้ำมันวันละประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะนั้น ถือเป็นปริมาณที่ร่างกายสามารถกำจัดออกได้หมด
คำแนะนำส่วนใหญ่จึงถือว่าการกินน้ำมันมะพร้าววันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ
เป็นปริมาณที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยว่ารับพลังงานไขมันจากแหล่งอื่นมากน้อยแค่ไหน
โดยคำแนะนำคือปริมาณบริโภคเมื่อรวมกับน้ำมันและไขมันในอาหารชนิดอื่น ๆ แล้ว ไม่เกินวันละ
3-4 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 60 กรัม
ดังนั้น หากเป็นคนที่ได้รับน้ำมันและไขมันจากอาหารชนิดต่าง ๆ แล้ว 2 ช้อนโต๊ะ ก็สามารถบริโภคน้ำมันมะพร้าวได้อีก 2 ช้อนโต๊ะ
หรือถ้าเป็นคนที่ทานมังสวิรัติ ไม่รับประทานนม ไข่ ชีส หรือน้ำมันอื่น ๆ ก็อาจทานน้ำมันมะพร้าวมากขึ้น
ดังนั้น
ทางที่ดีควรพิจารณาจากความเหมาะสมของสุขภาพตัวเอง เพราะถ้าหากทานเกินกว่าความต้องการของร่างกาย
ร่างกายกำจัดออกไม่หมด ก็เกิดการสะสมได้ไม่ต่างจากไขมันประเภทอื่น
น้ำมันมะพร้าว ลดน้ำหนัก ได้ไหม
หากสาว ๆ
คนไหนกำลังมองหาวิธีลดน้ำหนักที่แสนง่าย กว่าการไดเอต เราขอให้ลองดูคุณสมบัติของน้ำมันมะพร้าวกันก่อน
ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แค่กินน้ำมันมะพร้าววันละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ก็ช่วยให้น้ำหนักลงได้แล้ว เห็นได้คุณสมบัติเด่นเรื่องการลดความอ้วนทั้ง
4 ข้อต่อไปนี้
มีไขมันแคลอรีต่ำกว่าน้ำมันชนิดอื่น
คือ 8.6 กิโลแคลอรี ในขณะที่น้ำมันชนิดอื่นมีไขมันแคลอรีถึง 9
กิโลแคลอรี/กรัม
กินแล้วทำให้อิ่มนานขึ้น
ทำให้ไม่รู้สึกอยากกินจุบจิบ
กระตุ้นการขับถ่าย
ทำให้ท้องไม่ผูก
เพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
คัดบทความบางส่วนจาก http://health.kapook.com/view113540.html
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
Subscribe to:
Posts (Atom)